การจับฉลากยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบก่อนรองชนะเลิศเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาได้ผลลัพท์ที่ชัดเจนหนึ่งอย่าง นั่นก็คือจะมีทีมจากอังกฤษผ่านเข้ารอบตัดเชือกแน่นอนหลัง“เรือใบสีฟ้า”แมนเชสเตอร์ ซิตี้ต้องมาเจอกับ“หงส์แดง”ลิเวอร์พูล
ทั้งคู่คือตัวแทนจากพรีเมียร์ ลีกที่เหลือรอดในรายการนี้ พวกเขาต่างเป็นทีมที่เล่นเกมรุกและในการพบกันภายในประเทศก็ยิงกันถล่มทลายถึง 12 ประตูจาก 180 นาที
การจับฉลากมาเจอกันในแชมเปี้ยนส์ ลีกทำให้พวกเขามีโอกาสได้แข่งขันกันอีกครั้งและสำหรับแฟนบอลทั่วไปแล้ว นี่คือเกมที่น่าตื่นเต้นอย่างไม่ต้องสงสัย
การคุมทีมเชลซีสมัยแรกของโจเซ่ มูรินโญ่ได้สร้างช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมและมักพบกับลิเวอร์พูลบ่อยครั้งในฟุตบอลยุโรปจนกลายเป็นที่จับจ้องของแฟนบอล
เกมมีครบทุกรสชาติทั้งดราม่า,การทำประตูและความขัดแย้ง ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีเรื่องราวระหว่างทั้ง 2 ทีมที่ต่างไม่ชื่นชอบซึ่งกันและกันและทำให้เกมเร้าใจมากยิ่งขึ้นไปอีก มันกลายมาเป็นเกมฉบับย่อของการพบกันระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและอาร์เซน่อลในช่วงต้นทศวรรษนี้
ทว่าสภาพแวดล้อมไม่เหมือนกันในปี 2018 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ดูห่างจากลิเวอร์พูลทั้งในเชิงของคะแนนบนตารางและความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะแต่เยอร์เก้น คล็อปป์มีสไตล์การเล่นเกมรุกที่จะกดดันแนวรับของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าได้อย่างมีนัยสำคัญ
มันไม่ได้เป็นเช่นนี้ในตอนที่พวกเขายังคุมทีมในเยอรมัน อย่างไรก็ตามมันรู้สึกได้เลยว่าแนวรับของซิตี้ไม่ได้แข็งแกร่งไร้ที่ติแม้ว่าจะพัฒนาขึ้นมากจากฤดูกาล 2016/17 ก็ตาม
การผ่านเข้ารอบตัดเชือกแชมเปี้ยนส์ ลีกจะถือเป็นความสำเร็จของทั้ง 2 สโมสรแม้ว่าซิตี้จะหวังไปไกลถึงนัดชิงชนะเลิศ
แน่นอนว่าลิเวอร์พูลไม่ได้คาดว่าจะมาไกลขนาดนี้แต่หลังจากเป็นทีมเดียวในลีกที่เอาชนะทีมจ่าฝูงของพรีเมียร์ ลีกได้ในฤดูกาลนี้ พวกเขาคงมีความมั่นใจก่อนเกมนัดแรกที่แอนฟิลด์ในวันที่ 4 เมษายน
สำหรับบรรดาทีมอื่นที่ยังเหลือรอดในแชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขาก็คงไม่ผิดหวังที่เห็น 2 ทีมจากอังกฤษต้องมาเจอกันเอง แน่นอนว่าจะมีทีมหนึ่งตกรอบและคงไม่มีใครอยากมาเจอแนวรุกของลิเวอร์พูล
ความปราชัยต่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดส่งผลกระทบต่อความหวังการจบเป็นรองแชมป์ของลิเวอร์พูล ประกอบกับซิตี้ที่น่าจะคว้าแชมป์ลีกแบบนอนมาทำให้โค้ชของทั้ง 2 ทีมอาจพักนักเตะในลีกเพื่อลุยฟุตบอลยุโรปทั้ง 2 เกม
ลิเวอร์พูลจะเจอกับเอฟเวอร์ตันคั่นกลางเกมยุโรป ขณะที่ซิตี้ต้องต้อนรับการมาเยือนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่เอติฮัด สเตเดี้ยมซึ่งเป็นเกมที่พวกเขาอาจชูถ้วยแชมป์ได้สมใจ
ในทางตรงกันข้าม โมเมนตัมจากเกมลีกอาจมีส่วนช่วยในเกมยุโรปได้ ทั้ง 2 ทีมกำลังเล่นได้ดีและมาพบกันในฟุตบอลรายการใหญ่ที่สุดทำให้มันน่าสนใจอย่างมาก
ทีมจากอังกฤษมักมีปัญหาในฟุตบอลยุโรปตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมาแม้ว่าฤดูกาลนี้จะดูดีมากจนกระทั่งท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์,เชลซีและแมนเชสเตอร์ต่างตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ท็อตแน่มโชคร้ายแต่พวกเขาจะได้ประสบการณ์จากความผิดหวังนั้น ส่วนเชลซีก็เจอลิโอเนล เมสซี่แผลงฤทธิ์และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็เพลี้ยงพล้ำต่อเซบีญ่า
เช่นเดียวกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราก็คงคาดหวังว่าทั้ง 3 ทีมจะกลับมาในฤดูกาลหน้าและไปได้ไกลกว่าเดิมสำหรับการแข่งขันรายการนี้
แมนเชสเตอร์ ซิตี้และลิเวอร์พูลมีศักยภาพที่จะแสดงให้เห็นถึงความน่าดูชมของพรีเมียร์ ลีก การเล่นเกมรุกแบบดุดันของทั้ง 2 ทีมไม่ใช่สิ่งที่คุณจะเห็นได้บ่อยในแชมเปี้ยนส์ ลีกที่เต็มไปด้วยแท็คติค
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการพบกันของ 2 ทีมจากชาติเดียวกันถึงน่าตื่นเต้น ความแตกต่างเรื่องแท็คติคสำหรับฟุตบอลยุโรปไม่ต้องพูดถึง ความเป็นกังวลเรื่องประตูทีมเยือนอาจไม่ได้มีบทบาทเพราะทั้ง 2 ทีมจะรู้สึกว่าเหมือนเล่นเกมภายในประเทศ
นั่นอาจเป็นแนวทางที่ง่ายสำหรับการมองสิ่งต่างๆแต่การพบกันของพวกเขาดูเหมือนเกมพรีเมียร์ ลีกมากกว่าการเจอกันในฟุตบอลยุโรป