จุดเปลี่ยน “จารย์ไม่เป่า” ก่อน “หงส์” พลิกชัย

ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ณ เวลานี้แทบไม่ต่างจากวลีที่ว่า “ใครไหวเตะก่อนเลย” หลังโปรแกรมเลื่อนเริ่มอั้นไม่อยู่จนสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้หายไปแล้ว 5 จาก 10 คู่

คนที่ “ไหว” ก็ฝืนลงเตะแบบตัวหลักหายไป 2-3 คนซึ่งคำถามก็คือตอนซ้อมหรือสัมผัสใกล้ชิดเพื่อนร่วมทีม มันก็ต้องมีคนติดแค่ยังอยู่ในระหว่างฟักตัวตรวจไม่พบ ตรงนี้แหละครับที่มันจะเอาไปแพร่ต่อให้กับคนอื่นๆและทีมตรงข้าม

อย่างที่ผมบอกไปเมื่อวานเมื่อมันควบคุมไม่อยู่ ทางเดียวก็คือพักทั้งลีกให้มันแฟร์ๆสำหรับทุกทีมไปเลย

การยื้อไม่พักลีกของ พรีเมียร์ หนีไม่พ้นเรื่องลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดที่รับเงินมาแล้วเลยอาจต้องพยายาม “จริงจัง” เพื่อหาจังหวะเข้าไปคุยถึงความจำเป็น

ครับ 2 คู่ในวันนี้คือผู้อยู่รอดทั้ง เชลซี พบ เอฟเวอร์ตัน และ ลิเวอร์พูล พบ นิวคาสเซิ่ล ที่ลงสนามในสภาพที่ขาดตัวหลักก่อนเกมไม่กี่ชั่วโมง

ติโม แวร์เนอร์, ไค แฮร์แวร์ตส และ โรเมลู ลูกากู คือ 3 ตัวรุกที่หายไปจากรายชื่อของ “สิงห์บลู” เมื่อรวมกับลิสนักเตะเจ็บเดิมอยู่แล้วจึงส่งผลกระทบแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

เกมนี้ยิ่งต้องการความสามารถเฉพาะตัวและไอเดียเนื่องจาก เอฟเวอร์ตัน จอดรถบัสทั้งทีมก่อนมาถูกตีเสมอจากความผิดพลาดหนเดียวของ ซาอูล ที่โหม่งวืดจากจังหวะเสียฟรีคิกให้ทีมเยือน

เกมแทบจะวันเวย์และครองบอลอย่างโหด 80% โอกาสเกือบ 20 ครั้งในขณะที่ลูกทีม ราฟา เบนิเตซ ทั้งเกมได้ยิงแค่ 4 เป็นผลการแข่งขันที่ “ผ้าป่าคว่ำ” อย่างไม่น่าเชื่อ

3 นัดชนะเกมเดียวทำให้ลูกทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล จากที่เคยเป็นจ่าฝูงตอนนี้ถูก “ถ่าง” ออกจาก แมนฯซิตี้ และ ลิเวอร์พูล เป็น 4 และ 3 แต้มไปเรียบร้อยแล้ว

ในขณะที่ “หงส์แดง” ข่าวหลุดก่อนคิกออฟกลายเป็นจริงเมื่อ เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ และ ฟาบินโญ่ 2 ตัวหลักผลทดสอบเป็นบวกเช่นเดียวกับ เคอร์ติส โจนส์

อิบราฮิม่า โคนาเต้ เข้ามาทดแทนการหายไปของ VvD แบบไม่ห่วงมากแต่ที่ทำให้เกมวันนี้ “สุ่มเสี่ยง” ชัดเจนคือคือการไม่มีตัวเบรกคอยตัด อแล็ง แซงต์-แม็กซิแม็ง อย่าง ฟาบินโญ่

ความผิดพลาดของ ธิอาโก้ ที่มักไม่นิ่งหน้าเขตโทษเคลียร์บอลที่เหมือนไม่มีอะไร (เอาไว้กับตัวยังได้) จนทำให้โอกาสหนแรกในเกมนี้ของ นิวคาสเซิ่ล กลายเป็นประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 7

ประเด็นกังขาและกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมนี้คือจังหวะชนกันเองของฝั่ง “สาลิกา” จน ไอแซค ฮายเด้น ลงไปนอนและทำให้ ดิโอโก้ โชต้า ไม่ล้ำก่อนเป็นประตู 1-1

ลูกนี้แอบคล้ายวันที่ แมนฯยูไนเต็ด เสียให้ อาร์เซนอล หลัง เฟร็ด ไปเหยียบตีน ดาบิด เด เกอา

แต่ที่ แอนฟิลด์ ไม่เหมือนตรงที่เจ็บ “หัว” ซึ่งตามกฏต้องเป่าหยุดเกมแต่บอลดันไม่หนีจากจุดเกิดเหตุและถูกเล่นต่อทันที

ตั้งแต่ ฮายเด้น ล้มลงจน โชต้า ทำประตูกินเวลาราวๆ 8 วินาทีและผมอยากให้สังเกตร่วมด้วยว่าผู้ตัดสิน ไมค์ ดีน แกหันไปตามทิศทางบอลจนหันหลังให้เหตุการณ์นี้พอดี

ผมเชื่อว่าผู้ตัดสินเป่าให้แน่ๆหากทั้ง 2 เหตุการณ์บอลเลยที่เกิดเหตุไปเยอะจนต้องเสียเวลาตั้งขึ้นมา

ทั้ง โจ โคล และ เจอร์เมน จีนาส อดีตนักเตะทั้ง ลิเวอร์พูล และ นิวคาสเซิ่ล วิเคราะห์คล้ายๆกันว่าจังหวะบอลมันเล่นต่อได้ก็ควรเล่นเพราะนักเตะเจ็บหนักแค่ไหนไม่มีใครรู้

แต่เป็นกรณีศึกษาสำหรับทีมอื่นๆที่ควรเล่นต่อหรือใช้วิธีทำฟาว์ลดื้อๆเพื่อให้เกมหยุดก็เป็นวิธีสุดท้ายที่เหลืออยู่ (แม้อาจลงท้ายด้วยการฟาดปากกันทีหลัง)

เจ้าถิ่นเกือบต้องมาเล่นเกมไล่จับอย่างรวดเร็วแค่ 2 นาทีหลังตีเสมอจาก ธิอาโก้ คนเดิมที่วันนี้จิตหลุดเกือบทำเสียอีกลูก

อันนี้ก็งงใจแกจริงๆเพราะก็เห็นๆอยู่ว่า แซงต์-แม็กซิแม็ง ยืนดักต่อหน้าต่อตาไม่กี่หลาก็ยังเลือกจ่ายไปให้เขาตัด ต้องเดือดร้อน อลิสซอน เช็ดขี้ช่วยชีวิต

ครับ เชลวีย์ กับ ธิอาโก้ นี่ทรงเดียวกันคือลูกหวือหวาและวิชั่นมีครบแต่ความ tricky ตรงนี้ก็แลกมาด้วยความสะเพร่าจนอดีตแข้ง “หงส์แดง” จ่ายคืนหลังแบบผิดหลักสูตรวิชาคือไม่มองสภาพแวดล้อมและจ่ายตามความรู้สึกจนเป็น killer pass ให้ ซาดิโอ มาเน่ จนนำมาสู่ประตูของ โม ซาลาห์

ลูกยิงไกลในนาที 87 ของ TAA เหมือนฮีโร่ที่โผล่มาช้าไปนิดหน่อย (ในความรู้สึกแฟนบอล) เพราะก่อนหน้านั้นเกมค่อนข้าง “ตึง” ทั้งสนามอยู่ในภาวะอึดอัด

ด้วยการขาดที่ ฟาบินโญ่ ทำให้เกมของเจ้าถิ่นมีปัญหาในจังหวะเสียบอลและถูกโต้กลับ แม้จะไม่เยอะมากแต่ก็พอกรึ่มๆให้เสียวสันหลังจนพาตัวเองไปอยู่โมเม้นที่ว่า “ลูกเดียวไม่พอ”

อย่างไรก็ตามแท็คติกส์ “counter” ที่เป็นเครื่องมือทำมาหากินหลักของ “สาลิกา” จบเห่ทันทีเมื่อ แซงต์-แม็กซิแม็ง ได้รับบาดเจ็บและต้องทนฝืนเล่นอยู่ร่วม 10 นาทีก่อนถูกเปลี่ยนออกในนาที 78

สิ่งที่เราไม่ได้เห็นกันนักคือการที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เลือกถอด โม ซาลาห์ ออกทั้งๆที่เหลือเวลาบานเบอะ 15 นาทีซึ่ง “บัง” แสดงอาการไม่พอใจทางสีหน้าชัดเจน เพราะถ้ามองกันตรงๆ ซาดิโอ มาเน่ ทำประโยชน์น้อยกว่าด้วยซ้ำ

ครับ เป็นชัยชนะของ “หงส์แดง” และผลเสมอของ “สิงห์บลู” ท่ามกลางความรู้สึกเริ่มดูไม่ค่อยสนุกของแฟนบอลที่ต้องเอียงหูลุ้นเสี่ยงโชคว่าจะทีมจะติดโควิดในสภาพไหน ระหว่าง “เลื่อน” หรือเตะแบบไลน์อัพ “แหว่งๆ”…

สถิติ สถิติ สถิติ

 ลิเวอร์พูล กลายเป็น “ทีมแรก” ในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุด อังกฤษ ที่เก็บชัยชนะครบ 2,000 นัด

 โม ซาลาห์ เพิ่มสถิติไปเรื่อยๆล่าสุดมีส่วนร่วมกับ 24 ประตูในซีซั่นนี้ (15 ประตู 9 แอสซิสต์) โดยในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก มีเพียง อลัน เชียเรอร์ (1994-95) คนเดียวเท่านั้นที่ทำได้มากกว่า “บัง” ก่อนถึง คริสต์มาส (25 ลูก- 16 ประตู, 9 แอสซิสต์)

 “หงส์แดง” ยิงประตูต่อเนื่องมา 32 เกมหลังสุดในทุกรายการ นับเป็นสถิติยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร

 ประตูของ จอนโจ้ เชลวีย์ เป็นลูกที่ 3 ที่ยิงใส่ ลิเวอร์พูล ใน พรีเมียร์ลีก โดยนักเตะที่ย้ายแล้วกลับมายิง “หงส์แดง” มี นิโกลาส์ อเนลก้า (5 ลูก) ที่ทำได้มากกว่า

 “สาลิกา” ไม่ชนะที่ แอนฟิลด์ มา 26 เกมนับตั้งแต่หนสุดท้ายเมื่อเดือนเมษายน 1994 (เสมอ 5 แพ้ 21) มีเพียงเกมเยือน แมนฯยูฯ เท่านั้นที่ยืนหนึ่งหลังเคยไม่ชนะที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด มา 29 นัดซึ่งเป็นสถิติยาวนานที่สุดของสโมสร (1973-2012)

 เชลซี ไม่แพ้ เอฟเวอร์ตัน ในบ้าน 27 เกมติดต่อกัน (ชนะ 15 เสมอ 12) เป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดของสโมสรเทียบเท่าเกมที่เจอกับ สเปอร์ส (27 นัดตั้งแต่ปี 1990-2016)

 ในวัย 22 ปี 340 วัน, เมสัน เมาท์ กลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดของ เชลซี ที่ยิง 4 ประตูติดต่อกันในเกม พรีเมียร์ลีก

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ