“ราชัน” บัลลังก์ที่คู่ควร

จะพูดอะไรได้ครับในเมื่อความพ่ายแพ้ของ ลิเวอร์พูล หนนี้ไม่ต่างจากเหยื่อรายอื่นๆที่ เรอัล มาดริด กำจัดมาตลอดเส้นทางจนกระทั่งก้าวถึงแชมป์ยุโรปหนที่ 14

เปแอสเช, เชลซี และ แมนฯซิตี้ ล้วนแล้วแต่ “มีจุดจบ” ด้วยรูปแบบเดียวกัน

ทีมที่เหมือนหลังพิงฝา ถูกนวดตามร่มผ้าอย่างต่อเนื่องแต่เอาตัวรอดได้ทุกครั้งไป

ตลอด 90 นาที “ราชันชุดขาว” มีโอกาสทั้งสิ้น 3 หน คือเข้ากรอบ 1 ไม่เข้ากรอบ 1 และติดบล็อก 1

ประสบการณ์ในเกมใหญ่และประตูมักมาในช่วงเวลาสำคัญ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ มาดริด เหนือกว่าชาวบ้านชาวช่องในซีซั่นนี้

ตรงกันข้ามกับ “หงส์แดง” ที่ปูพรมใส่ยิงรวมกันถึง 23 หนแต่ 9 เซฟของ ติโบต์ คูร์กตัวส์ กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้แชมป์ UCL ตกไปอยู่ในมือของพี่เบิ้มเป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 8 ปีหลังสุด

เป็นแท็คติกส์ที่ คาร์โล่ อันเชล็อตติ คิดว่าเหมาะที่สุดสำหรับขุมกำลังชุดนี้แล้ว กล่าวคือหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ณ ชั่วโมงนี้คุณกิน คูร์กตัวส์ ยากถึงยากที่สุด

ในขณะที่แนวรุกถ้าพูดกันตรงๆคุณจะเก็บ คาริม เบนเซม่า หรือ วินิซิอุส เข้ากระเป๋าก็เรื่องของคุณแต่ทำได้ตลอดทั้งเกมไหม ถ้าเปิดโอกาสให้ซัก 1-2 ครั้งบทสรุปแทบไม่ต่างจากศพอื่นๆ

แผนใน 45 นาทีแรกเราจะเห็นได้ว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ ชนะ อันเช่ ขาดลอยด้วยกลยุทธิ์ดันสูงเหมือนที่เล่นมาตลอดทั้งซีซั่น

ข้อสังเกตเล็กน้อยคือแนวรับ “หงส์แดง” จะไม่ยืนแนวเดียวกับเส้นกลางสนามแต่จะถอยมาซัก 10 หลาเพื่อดักกิน วินิซิอุส

ปีกแซมบ้าเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ JK เลือก อิบราฮิมา โคนาเต้ ก่อนความเก๋าของ โจเอล มาติ๊ป

ความขยันเข้าถึงบอลไวของนักเตะแดนบนทำให้ “ราชัน” ตั้งเกมลำบาก การออกบอลที่มักจะมุ่งไปที่ 2 keyman อย่าง เบนซ์ และ วินิ 2 ที่ถูกรุมดักกินทำให้ option ยิ่งน้อยตามไปอีก

ในช่วง moment ที่คุณเหนือกว่าทุกอย่างแต่ไม่มีประตู หมายถึงคุณไม่ได้ตักตวงประโยชน์จากตรงนั้น

หากกล่าวอย่างแฟร์ๆ “ราชัน” ควรขึ้นนำตั้งแต่ครึ่งแรกด้วยซ้ำจากโอกาสครั้งเดียวของ เบนเซม่า

แต่ด้วยความ “โชคดี” ดังที่ อาร์แซน เวนเกอร์ นิยามเอาไว้ทำให้ ลิเวอร์พูล รอดตัวหลัง VAR ควรต้องให้เป็นประตูไม่ใช่ล้ำหน้า ตามกฏที่บอลสัมผัสผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามจึงไม่ใช่การส่งบอลออกจากเท้าพวกเดียวกัน

หากไม่นับเหตุการณ์ข้างต้น แนวรับของ ลิเวอร์พูล ดักจังหวะ 2 ไม่มีพลาดแม้แต่หนเดียวในครึ่งแรกแต่ทันทีที่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน (หลุดตำแหน่ง) ทำให้ Vvd ต้องทิ้งพื้นที่ตัวเองออกมา

ทีมระดับอย่าง มาดริด จึงฉวยโอกาสทองตรงนี้แบบไม่มีปล่อยให้หลุดลอยและเป็นเหตุการณ์เดียวที่แบ่งแยกผู้แพ้และผู้ชนะอย่างเจ็บแสบ

เมื่อปล่อยให้บอลเชิงอย่าง “ราชันชุดขาว” ขึ้นนำ เชื่อได้อย่างนึงเลยว่าคุณกำลังเจอกับการ “ปิดเกม” ที่เขี้ยวที่สุดเท่าที่เคยเจอมา แม้กระทั่งเหลือเวลาอยู่อีกร่วมครึ่งชั่วโมงก็ตาม

กลางที่เคยหงอยๆอย่าง คาเซมิโร่, โครส และ โมดริช พอสกอร์ 1-0 จู่ๆงัด class ออกมารับมือกับ ลิเวอร์พูล แบบทันทีทันใด

จะว่าไปแล้วเกมรุกของ “หงส์แดง” สร้างปัญหาให้ มาดริด น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ลูกเปิดของ TAA และ โรเบิร์ตสัน วันนี้สอบตกอย่างแรง

รวมถึงแนวรุก 3 ตัวบนไม่เปลี่ยนวิธีเล่น ยังเก็บบอลไว้กับตัวนานทำให้แนวรับ “ชุดขาว” ตามบี้ถึงตัวง่ายมาก

ผมเห็นครั้งเดียวที่ออกบอลไว (แบบเพื่อนวิ่งมาบุกต่อได้เลย) ก็ตอนนาที 63 ที่ หลุยส์ ดิอาซ ป้ายบอลออกมาฝั่งขวา ที่เหลือจังหวะอื่นๆทั้ง มาเน่ หรือ ซาลาห์ โดนตอดถ้าไม่เสียบอลก็พลิกทำอะไรไม่ได้

ผิดกับทาง เบนเซม่า ที่รู้ตัวว่าโดดเดี่ยวและเล่นฉลาดกว่า เรียกว่าการพลิกแพลงแก้ไขปัญหน้างาน “หงส์แดง” ถือว่ายังไม่ดีพอส่งผลทำให้โอกาสเข้าทำยิงจะๆในพื้นที่อันตรายแทบนับครั้งได้

ย้อนกลับไปที่ เคี๊ยฟ 2018 เทียบขุมกำลังของทั้งคู่ ณ ตอนนี้ต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล ดีขึ้นกว่าชัดเจน

ใช่ครับรูปเกมก็ดีขึ้นอย่างที่เราเห็นๆกันแต่ดีในทีนี้คุณต้องหาจุดอ่อนเพื่อหาทางขึ้นนำคู่ต่อสู้ให้ได้

ความสุดยอดของ คูร์กตัวส์ ทำให้ มาดริด สามารถ “รอเวลา” ของตัวเองก่อนตามเช็กบิลเมื่อ ลิเวอร์พูล ย่ามใจในที่สุด

ทั้ง ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด ต่างรู้ว่าตัวเองมีอาวุธในการน็อกคู่ต่อสู้อย่างไรแต่วิธีการเป็นสิ่งสำคัญซึ่งผมเชื่อว่า “แชมป์ลา ลีกา” พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า โร้ด ทู ปารีส เกิดจากแนวทางการเล่นที่สม่ำเสมอจากผู้เล่นระดับโลกที่เต็มไปด้วยประสบการณ์

ความไม่นิ่งและผิดฟอร์มของแนวรุก “หงส์แดง” ทำให้มีสถิติที่ดูไม่จืดอย่างแรงคือตลอดการลงเล่นรอบชิงทั้ง 3 รายการในซีซั่นนี้พวกเขายิงไม่ได้เลย นับรวมกัน 330 นาที 0 ประตูจากการยิงทั้งหมด 61 ครั้ง

หากมองในแง่ดีถือว่า ลิเวอร์พูล เองก็พวกดวงมาไม่น้อยที่ยังกดไปได้ 2 แชมป์กับประตูที่ยิงไม่ได้เลยแม่แ่ตลูกเดียว

ครับท้ายที่สุดความภาคภูมิใจของ เดอะ ค็อป ที่มีต่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ คือการพา ลิเวอร์พูล ลุ้น 4 แชมป์และได้มา 2 อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครกล้าตำหนิแน่นอน

แต่ถึงตรงนี้ผมก็เชื่อเช่นกันว่า คาร์โล่ อันเชล็อตติ สมควรได้รับยกย่องไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเพราะนอกจากเป็นกุนซือคนแรกที่คว้าแชมป์ลีกครบ 5 ลีกใหญ่ไปก่อนหน้านี้แล้ว

บอสชาว อิตาเลี่ยน ในวัย 62 ปีสะสมเกียรติยศครั้งสำคัญกับการเปิดซิงคว้า UCL 4 สมัยเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์

คุณค่าที่คุณคู่ควรทั้งกุนซือและขุนพล โลส บลังโกส…

สถิติ สถิติ สถิติ

 คาร์โล่ อันเชล็อตติ เป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่คว้า UCL มากที่สุดถึง 4 สมัย (เอซี มิลาน 2002/03 และ 2006/07) กับ ( เรอัล มาดริด 2013/14 และ 2021/22)

– เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยุโรป (ยูโรเปี้ยนคัพ/UCL) เป็นหนที่ 14 ซึ่งมากกว่าทีมอื่นๆถึง 2 เท่าเลยทีเดียว

 วินิซิอุส จูเนียร์ (10 ลูก – 4 ประตู 6 แอสซิสต์) เป็นนักเตะอเมริกาใต้ที่อายุ 21 หรือน้อยกว่าคนแรกที่มีส่วนร่วมโดยตรงกับ 10+ ใน UCL ซีซั่นเดียวนับตั้งแต่ ลีโอเนล เมสซี่ เคยทำไว้เมื่อปี 2008-09 (14 ลูก – 9 ประตู 5 แอสซิสต์)

 เกมที่ ปารีส ติโบต์ คูร์กตัวส์ เซฟไป 9 ครั้ง กลายเป็นสถิติใหม่ของผู้รักษาประตูในรอบชิง UCL ไปเรียบร้อยแล้ว

 ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงเข้ากรอบแค่ในครึ่งแรกครั้งเดียว (5) มากกว่าที่พวกเขาเข้าชิง UCL 2 ครั้งรวมกันซะอีก (ยิงเข้ากรอบ 2 หนในปี 2018 และ 2019)

 โม ซาลาห์ ยิงเข้ากรอบ 6 ครั้งในคืนนี้นับเป็นสถิติที่นักเตะทำได้ในรอบชิง UCL (นับตั้งแต่ 2003-04)

 แม้ได้ 2 แชมป์ในซีซั่นนี้แต่ “หงส์แดง” กลับยิงประตูไม่ได้แม้แต่ลูกเดียวตลอดการลงเล่นรอบชิง 5 ชั่วโมงครึ่งในซีซั่นนี้

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ