สัญญาณอันตราย “โควิด” ระบาด พรีเมียร์ลีก

สถานการณ์ช่วงนี้ทำให้แฟนบอลเริ่มเห็นสัญญาณไม่ค่อยดีหลัง พรีเมียร์ลีก มีโอกาสสูงที่จะเบรกหนี โควิด เหมือนช่วงเริ่มระบาดแรกๆเมื่อ 2 ปีก่อน

นับตั้งแต่มีการเดบิ๊วท์สายพันธ์ุ โอไมครอน มีโปรแกรมทยอยเลื่อนอย่างต่อเนื่องโดยเกมเมื่อกลางสัปดาห์กระทบไปแล้วในคู่ เบรนท์ฟอร์ด พบ แมนฯยูฯ

เมื่อสัปดาห์ก่อนตัวเลขสูงเป็นสถิติเมื่อมีผู้เล่นกว่า 42 คนที่มีผลตรวจเป็น “บวก” และคาดว่าจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนตอนนี้เริ่มกระทบโปรแกรมการแข่งขันมากขึ้นเรื่อยๆ

เบิร์นลีย์ กับ วัตฟอร์ด ที่มีโปรแกรมเตะในคืนวันพุธต้องยกเลิกก่อนคิกออฟเพียง 2 ชั่วโมงหลัง “แตนอาละวาด (ไม่ออก)” มีนักเตะไม่พอลงสนาม

แต่ปัญหาคือพอมาถึงคู่ เลสเตอร์ กับ สเปอร์ส ที่มีคิวเตะกันในคืนวันพฤหัสกลับถูก พรีเมียร์ลีก “เซย์โน” ไม่ยอมให้เลื่อน

สาเหตุหลักน่าจะมาจากการที่ “คลับไก่” มีโปรแกรมค้างอยู่แล้วถึง 2 เกมคือกับ เบิร์นลีย์ (ที่เลื่อนเมื่อเดือนตุลาคม) และล่าสุดกับ ไบรจ์ตัน เมื่อสุดสัปดาห์

ทำให้เด็กๆของ อันโตนิโอ คอนเต้ เพิ่งเตะไป 14 เกมทั้งๆที่ส่วนใหญ่กดไปแล้ว 17 ทำให้เกมพบ “จิ้งจอก” จำเป็นต้องเตะเพื่อสะดวกต่อการหาที่ลงใน 2 เกมตกค้าง

เดิมที สเปอร์ส อยากใช้วันพฤหัสนี้เตะ ยูโรป้า คอนเฟอร์เรนซ์ ลีกกับ แรนส์ ที่เลื่อนจากวีคก่อนมากกว่าแต่ พรีเมียร์ลีก ไม่ยอมส่งผลทำให้โปรแกรมยุโรปไม่สามารถหาวันเตะได้ก่อน 31 ธันวาคม (อันเป็นวันเดดไลน์)

เมื่อเป็นเช่นนี้ ยูฟ่า เตรียมประกาศปรับแพ้และ “ไก่เดือยทอง” จะตกรอบรายการนี้ทันที (แต่สโมสรน่าจะไม่แคร์)

เลสเตอร์ คู่แข่งของ สเปอร์ส ในคืนวันพฤหัสก็พลอย “ซวย” จากการไม่เลื่อนหนนี้เนื่องจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส บิ๊กบอสจะไม่มี 9 ผู้เล่นที่ติด โควิด

เมื่อรวมกับนักเตะที่เจ็บทำให้ “จิ้งจอก” จะไม่เหลือเซนเตอร์แบ็คให้ใช้แม้แต่คนเดียวหลังทั้ง จอนนี่ อีแวนส์ และ โซยุนชู เดี้ยงมาจากเกมถล่ม นิวคาสเซิ่ล 4-0

BR ถึงกับให้สัมภาษณ์แสดงความ “ผิดหวัง” และ “ตัดพ้อ” ในท่อนที่ว่า “เลสเตอร์ สนับสนุนทุกๆมาตรการและทุกๆอย่างที่ได้รับคำสั่งมาโดยตลอดแต่เมื่อถึงคราวที่สโมสรขอแค่ความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆกลับไม่ได้รับสิ่งนั้นกลับมา”

นี่ผมเหลือบไปเห็นข่าวล่าสุดว่าหลัง “ปีศาจแดง” กลับมาเปิดแคมป์ คาร์ริงตัน ปรากฏมีนักเตะผลตรวจเป็น “บวก” เพิ่มขึ้นจน ราล์ฟ รังนิค กุนซือเตรียมยื่นเรื่องขอเลื่อนเตะกับ ไบรจ์ตัน ในวันเสาร์นี้

แต่อาจไม่มีผลอะไรเพราะ พรีเมียร์ เพิ่งประกาศกร้าวเสียงดังๆเอาไว้ว่าจะตอบ “ปฏิเสธ” ทุกๆคำร้องเพื่อขอเลื่อนเกมการแข่งขันนับจากนี้

ส่วนตัวผมเชื่อว่าอีกไม่นาน(หากโควิดคุมไม่อยู่) อาจต้องมีการหารือประชุมเป็นวาระพิเศษเพราะความยุติธรรมตอนนี้มันเริ่มเอียงแล้ว คนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ได้รับการปฏิบัติไม่เท่ากัน

ง่ายๆอย่างเคสของ เลสเตอร์ ที่ต้องจำใจฝืนเตะทั้งๆที่ติดกันระนาว 9 คนแต่ทีมอื่นๆรอดตัวและได้ผู้เล่นกลับมาฟูลทีมเมื่อถึงเวลาลงเตะเกมตกค้าง

ผมนั่งดูชาร์ตแผนผังการระบาดของ โอไมครอน ทั่ว อังกฤษ ปรากฏว่าเริ่มส่งสัญญาณเตือนมาตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม ตอนนั้นตัวเลขน้อยมากไม่ถึง 250 คนด้วยซ้ำ

แต่จังหวะเข้าหน้าหนาวซึ่งแพร่ระบาดง่ายทำให้กราฟถีบตัวสูงขึ้นจนวันที่ 13 หรือ 10 วันให้หลังตัวเลขไปแตะที่ 4,500 คนอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามมีการคาดกันว่าตัวเลขดังกล่าวมัน out date ไปแล้วตอนนี้มันระบาดกระจาย (ที่ยังไม่มีการยืนยัน) อยู่ที่ราวๆ 11,000 คน

พรีเมียร์ลีก เองพยายามหาทางป้องกันเพื่อให้รายการนี้ไม่กลายเป็นตัวแพร่ระบาดจนสุ่มเสี่ยงถูกรัฐบาลสั่งเบรก

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาสโมสรตกลงร่วมกันว่าจะมีการตรวจหา โควิด-19 เป็น 9 ครั้งต่อสัปดาห์

อย่างไรก็ตามประเด็นสำคัญที่ทำให้การระบาดในหมู่สโมสรด้วยกันสืบเนื่องมาจากนักเตะส่วนใหญ่อิดออดไม่ค่อยอยากฉีดวัคซีน

อาจจะมองว่าตัวเองเป็นนักกีฬาแข็งแรงอยู่แล้วไม่น่าจะอันตรายอะไรเลยไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงกับการฉีดวัคซีนที่ยังไม่ “นิ่ง” และไม่ปลอดภัย 100%

มีการเปิดเผยเมื่อเดือนตุลาคมว่ามีนักเตะเข้ารับวัคซีน 2 เข็มประมาณ 68% และเข็มเดียว 81%

ในส่วนของแฟนบอลทาง พรีเมียร์ลีก ขานรับมาตรการ “แผน 2” ของรัฐบาลด้วยการบังคับให้คนที่อายุเกิน 18 ปี (18+) ต้องแสดง NHS Covid Pass หรือใบแสดงผลทดสอบเชื้อโควิด (ภายใน 48 ชม.) ก่อนเข้าสนามตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคมเป็นต้นไป

สำหรับผมก็เหมือนทุกๆคนที่เฝ้ารอและหวังว่าเมื่อเวลาผ่านไปทุกๆอย่างจะคลี่คลายแม้การปลอบใจตัวเองผ่านมาแล้ว 2 ปีและกำลังเข้าปีที่ 3

เป็นการเสียเวลาและโอกาสในช่วงอายุเราที่ก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว เหมือนหายไปเปล่าๆแทบไม่ได้ทำอะไรที่มันควรต้องทำ

แต่ทุกวันนี้ยังยืนหยัดและมองสิ่งต่างๆให้เป็น positive เพราะเห็นความสูญเสียหรือคนที่ลำบากกว่าเราทั้งตกงานหรือธุรกิจพังยับเยินจนปัญหาของเรากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย…

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ