“หงส์” เล่นตามสภาพ // “ตราหมี” ไร้ซึ่งเกียรติและสปิริต

ประตูท้ายเกมของ หลุยส์ ดิอาซ ในเกมแรกที่ทำให้สกอร์ออกมาสวยๆและปลอดภัย 3-1 ทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ กล้าที่จะโรเตชั่นเพื่อรอทำศึกใหญ่เอฟเอ คัพ ในสุดสัปดาห์นี้

ผิดกับ “เรือใบ” แมนฯซิตี้ คู่ต่อกรที่ต้องฟูลทั้ง 11 ตัวหลังนัดแรกเจอรถบัสชนะ แอต.มาดริด มาแค่ 1-0 จนมาเดือดเกือบมีมวยช่วงท้ายเกม

ผมสลับดูไปมาแค่ช่วงแรกๆก่อนเลือกแช่ที่ แอนฟิลด์ แต่สมาธิไปอยู่ที่คัดเลือกสนุ๊กเกอร์โลกระหว่าง หมู ปากน้ำ กับ โรเบิร์ต มิลกินส์

ผลจบลงที่ “หมู” เอาชนะ 10 ต่อ 8 เข้าครูซิเบิ้ลเป็นหนที่ 3 ตามหลัง เอฟวัน ที่ชิงเข้าไปก่อนแล้วเมื่อวันอังคาร (เข้าเป็นหนที่ 4)

แต่การเชียร์นักสนุ๊กไทยคุณต้องทำใจอย่างนึงว่าจะเจอคอมเมนท์ toxic เยอะมาก เรียกว่าถ้านักกีฬามาดูย้อนหลังบอกได้คำเดียวว่าเข่าทรุด

ทุกครั้งที่เล่นไม่ดี แทงพลาด เจอคู่ต่อสู้ปล้นจะมีคำพูดดูถูกจากคนไทยด้วยกันเองเช่น เล่นแบบนี้อย่าไปเลยอายเขา, หมูสมชื่อ, แข่งในไทยเถอะถ้าได้แค่นี้, มีทุกอย่างยกเว้นสมอง ฯลฯ

คืออย่างแรกที่เราต้องสำเหนียกก่อนเลยว่านักสนุ๊กไทยที่ไปแข่งต่างแดนเขาดิ้นรนสมัครเอง ใช้เงินตัวเอง บางคนพอมีชื่อหน่อยก็พอมีสปอนเซอร์มาช่วยออก โชคร้ายร่วงตั้งแต่รอบแรกๆก็ติดลบครับ

อย่าง ซันนี่ ทุกอย่างส่วนตัวหมด ไม่มีเงินจ้างโค้ชก็ต้องเป็นพ่อดูแลทุกอย่าง แล้วตอนนี้มาเจอ ลองโควิด เป็นโรคซึมเศร้าเล่นงานร่วงคัดเลือกหลุดจากมืออาชีพโลกไปแล้ว อนาคตน่าเป็นห่วงมาก

รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนอะไรนะครับแถมกีฬาสนุ๊กในบ้านเรายังติดพรบ.พนันอีกต่างหาก จำกัดอายุขั้นต่ำของคนที่จะเข้ามาเล่นตามโต๊ะจนตอนนี้ถูกนักสนุ๊กจีนแซงหน้าไปเกือบหมดแล้ว

เวลาผมดูแล้วแบบสู้ไม่ได้เต็มที่ผมก็แค่ปิดไปเลยเลิกดู ไม่เคยไปเม้นท์อะไร สนุ๊กจึงเป็นกีฬาประเภทเดียวที่ผมเห็นใจคนไปแข่งที่สุดละ

เช่นเดียวกับเกมที่ แอนฟิลด์ ผมเห็น line up โอเค วันนี้เราต้องเจอกับอะไรบ้าง พอรู้ล่วงหน้า

แน่นอนครับเกมที่สบายๆเพราะ “เหยี่ยวลิสบอน” เล่นไปเรื่อยๆความเฉียบขาดมันไม่มี ทรงบอลไม่ได้อะไรมากทีมชุดโรเตชั่นของ “หงส์แดง” พอรับมือได้แม้จะเกร็งขาเอาใจช่วยเป็นระยะๆก็ตาม

สกอร์นำ 3-1 ดูแล้วเหมือนไม่มีอะไร ลุกไปเวฟน้ำเต้าหู้ ซดบีทาเก้นสบายๆแต่การยืน high line สูงปรี๊ดและไร้พี่ใหญ่อย่าง VvD ทำให้การยืนเหม่อระลึกชาติของทั้ง โจ โกเมซ และ อิบราฮิม่า โคนาเต้ ต่ำกว่าไลน์และ VAR ให้เป็นประตูทั้ง 2 ลูก

เรียกว่าทั้ง 2 จังหวะมี โจเอล มาติ๊ป คู่ซี้ ฟาน ไดคจ์ ที่ยืนเช็กเป๊ะที่สุด (ลูก 2 ขิมิกาส กับ โคนาเต้ เช็กพลาดทั้งคู่)

แล้ววันนี้แนวรับยังยึดแผนเดิมคือเช็กล้ำหน้ารัวๆแต่ตัวที่ต้องรับผิดชอบแดนบนดูไม่ทุกข์ร้อนกับสกอร์ที่ขาดเยอะส่งผลทำให้บอลที่วางมาจึงค่อนข้างหนทางสะดวก

ถามว่าหัวเสียไหมก็ต้องตอบเหมือนที่คุยเรื่องสนุ๊กเอาไว้ข้างต้นว่าเล่นตาม “คุณภาพ” และ “สภาพเกม” ไม่รู้จะไปเสียเวลาด่าทำไม

ไว้รอจัดทีเดียวตอนฟูลทีมและในเกมที่ไม่มีสกอร์นัดแรกมาทำให้ขาดแรงจูงใจไปเลยทีเดียวดีกว่า

เรื่องดีๆของเกมนี้คือการเข้าฝักของ ซิมิคาส ที่แอสซิสต์ 2 ประตูกับลูกครอสวันนี้หวังผลวิถีโค้งน่ากลัวแทบทุกลูก ที่สำคัญอาวุธใหม่ที่ช่วงหลังมาถี่มากคือการเปิดด้วยเท้าข้างไม่ถนัดซึ่งจุดนี้เหนือกว่า แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ไปแล้ว

นอกจากนี้การได้ดู หลุยส์ ดิอาซ โชว์สเต็ปและมีส่วนร่วมกับเกมค่อนข้างเยอะทำให้การรีบเปลี่ยนตัวออกในนาที 66 อาจบอกเราได้กลายๆว่า JK มีโอกาสส่งลงตัวจริงพบ แมนฯซิตี้ ในวันเสาร์นี้ค่อนข้างสูง

จากวันที่เสมอ “เรือใบ” 2-2 อาจจำเป็นต้องมี ดิอาซ ไว้เลี้ยงกินตัวที่ตอนนี้บอกได้ว่าเด่นกว่าทุกคนไปเรียบร้อยแล้ว

การได้เห็นความมีชีวิตชีวา (lively) และเล่นกับแฟนบอลจากนักเตะที่เพิ่งย้ายมาไม่นานยังทำให้เรารู้สึกฮึกเหิมตามไปด้วยแล้วเพื่อนร่วมทีม (ที่เล่นเฉื่อยๆ) จะไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงไม่ใช่

การเจอกับ เบนฟิก้า หนนี้อาจได้มากกว่าตั๋วเข้ารอบรองชนะเลิศของ “หงส์แดง” เพราะเชื่อว่า คล็อปป์ น่าจะได้เห็นความสามารถของ ดาร์วิน นูเญซ เต็มๆทั้ง 2 นัด

หอกวัย 22 ปีชาว อุรุกวัย คล้ายฉลามล่าเหยื่อยยามอยู่ในเขตโทษ ประสิทธิภาพในการจบสกอร์ทั้งคมและหาตัวเองไปอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ คาดว่าไม่พ้นย้ายไปทีมใหญ่ในเร็วๆนี้

องศาเกมที่ แอนฟิลด์ แค่อุ่นๆไม่เครียดอะไรมาก (ตามสกอร์) ซึ่งคนละเลเวลกับที่ ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ ที่เตะพร้อมกันแต่จบช้ากว่าจากอารมณ์เดือดท้ายเกมจนต้องทดเจ็บถึง 9 นาที

ผมเห็นความไร้สปิริตของฝั่งนักเตะ แอต.มาดริด ในช่วงท้ายๆที่เริ่มตบะแตกหันมาเล่นคนชวนให้นึกถึงความเป็นสุภาพบุรุษหลังจบเกมของ เป๊ป กับ คล็อปป์ จากเกมเมื่อสุดสัปดาห์

การส่งสัญญาณของผู้จัดการทีมซึ่งเป็นผู้นำทัพมันจะส่งต่อไปยังผู้เล่นโดยอัตโนมัติซึ่งหาไม่ง่ายนะครับที่อริแย่งแชมป์โดยตรงจะ “หนุงหนิง” และ respect กันอย่างคู่ซี้ “ผมหาย” และ “แว่นหาย”

เท่าที่เราเห็นกันมาหากต่างฝ่ายเริ่มมองเป็น “ภัยคุกคาม” ไม่มีทางญาติดีแน่ๆครับไม่ว่าจะเป็น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่มีโจทย์เพียบทั้ง อาร์แซน เวนเกอร์, โจเซ่ มูรินโญ่ และ ราฟาเอล เบนิเตซ

หรือการไฝว้ถึงขนาดผลักอกข้างสนามกันมาแล้วระหว่าง เวนเกอร์ vs มูรินโญ่

ตัดกลับมาที่ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ที่แสดงตัวชัดเจนมานานว่าแคแรคเตอร์ไม่สะดวกเป็นมิตรกับใคร ดูได้จากยึดถือการไม่จับมือกับผู้จัดการทีมทุกคนหลังจบเกมก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าส่วนอื่นๆคงไม่น่าเหลือ

การให้ท้ายลูกทีมและสั่งให้เล่น dirty football รวมถึงทำตัวเป็นเชียร์ลีดเดอร์ “ปรบมือ” ให้ทั้งสนามทำตามเพื่อประชดผู้ตัดสินหลังเห็นนักเตะ “เรือใบ” ลงไปนอนเจ็บ

มันเป็นสิ่งที่ฝั่ง “ตราหมี” ทำกับคนอื่นมาทั้งนั้นนะครับกับแท็คติกส์พวกนี้ การเจอทีเด็ด เป๊ป ลงไปอุดในครึ่งหลังอาจทำให้ตัวเองหัวร้อนก่อนมาระเบิดในช่วงท้ายเกมจากการที่ เฟลิเป้ ไปเล่นนอกเกมใส่ ฟิล โฟเด้น จนถูกไล่ออก

ซ้ำร้ายยังมีผู้เล่นเจ้าถิ่นไปจุดไฟเดือดลาก โฟเด้น ให้ออกไปนอนเจ็บนอกสนามจนทุกอย่างบานปลายเป็นม็อบใหญ่แถวมุมธง

นี่ยังไม่นับการเอาหัวโขกใส่ ราฮีม สเตอร์ลิ่งและกระชากผม แจ็ค กรีลิช เติมเชื้อเพลิงให้โลกโซเชี่ยลร้อนเป็นไฟจนกลายเป็นภาพที่ทุเรศลูกตาที่สุดที่เกิดขึ้นกับฟุตบอลรายการใหญ่ที่สุดในยุโรป

ความเกลียดชังมันมาถึงจุดนี้ได้ก็ไม่ใช่ครับเพราะ “เอล โชโล่” นี่แหละเป็นตัวนำและให้ท้ายแบบน่าเกลียด แฟนบอลเองก็เห็นดีเห็นงามกับการกระทำแบบนี้ไปด้วย

เสียดายนักเตะเทคนิคดีๆอย่างพวก เจา เฟลิกซ์ หรือ อองตวน กรีซมันน์ ที่ต้องถูกครอบงำด้วยสไตล์การเล่นแบบนี้

ผมเชื่อว่า ยูฟ่า คงเข้ามาจัดการและทำการสอบเรื่องนี้แน่ๆเพราะล่าสุดมีคลิปไปต่อกันในอุโมงค์อีกยก

เมื่อวานแม้ เชลซี ตกรอบแต่กลับเต็มไปด้วยเสียงแซ่ซ้องยกย่องในสปิริตนักสู้จากทั่วโลก

แต่วันนี้ “ตราหมี” ตกรอบพร้อมเสียงก่นด่าสาปแช่งจากพฤติกรรมไร้สปิริตที่ทุกๆการกระทำเป็น Digital Footprint ไปเรียบร้อยแล้ว

การมีเกียรติไม่ใช่มีเพราะเรายกย่องตัวเองแต่เป็นเกียรติที่ได้จากการยอมรับของคนส่วนใหญ่นะครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

 เป๊ป กวาดิโอล่า เข้ารอบรองชนะเลิศ UCL เป็นหนที่ 9 ซึ่งมากที่สุดในบรรดาผู้จัดการทีมทุกคน (4 กับ บาร์เซโลน่า, 3 กับ บาเยิร์น และ 2 กับ แมนนซิตี้)

 “เรือใบ” ยังไม่เสียประตูในรอบน็อกเอาท์ UCL ฤดุกาลนี้เลย ในขณะที่สถิติโดยรวมครั้งสุดท้ายที่โดนยิงคือประตูคือเกมพบ ไลป์ซิก เมื่อเดือนธันวาคม รวมแล้ว 334 นาที

 ลิเวอร์พูล เข้ารอบรองชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน คัพ/UCL เป็นครั้งที่ 12 และไม่มีตัวแทนจาก อังกฤษ ทีมไหนเข้ามาถึงรอบตัดเชือกได้มากกว่าพวกเขาอีกแล้ว (เทียบเท่า แมนฯยูไนเต็ด)

 เยอร์เก้น คล็อปป์ ทะลุตัดเชือก UCL เป็นที่ 4 ในฐานะโค้ชโดยไม่มีผู้จัดการทีมชาว เยอรมัน คนไหนทำได้มากกว่าเขาอีกแล้ว (จุ๊ป ไฮค์เกส และ ออตมาร์ ฮิตเฟลด์ ทำได้ 4 ครั้งเท่ากัน) โดย 3 หนแรกในรอบรอง JK สามารถพาทีมเข้าชิงได้ทุกครั้ง

 โรแบร์โต้ ฟีร์เมียโน่ (20) เป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล หน่อที่ 4 ที่ยิง 20+ ให้สโมสรใน UCL (รวมถึง ยูโรเปี้ยน คัพ) ตามหลัง โม ซาลาห์ (33), ซาดิโอ มาเน่ (22) และ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด (21)

 บ๊อบบี้ กดไปแล้ว 10 ประตูทุกรายการในซีซั่นนี้แซงหน้าฤดูกาล 2020-21 ที่ทำได้ 9 ประตู และนี่เป็นประตูแรกใน UCL ของหอก แซมบ้า นับตั้งแต่หนสุดท้ายที่ยิงใส่ แอต.มาดริด เมื่อปี 2020

 อิบราฮิม่า โกนาเต้ เป็นนักเตะรายที่ 4 ของ “หงส์แดง” ที่ยิงประตูทั้ง 2 เลกในรอบ 8 ทีมสุดท้าย UCL ต่อจาก ปีเตอร์ เคราช์ (พบ พีเอสวี 2006-07), ซาลาห์ (พบ แมนฯซิตี้ 2017-18) และ ฟีร์เมียโน่ (พบ ปอร์โต้ 2018-19)

 เจมส์ มิลเนอร์ (36 ปี 99 วัน) เป็นนักเตะ “อังกฤษ” ที่อายุมากที่สุดที่ลงเล่นใน UCL รอบน็อกเอาท์โดยคนสุดท้ายที่ทำไว้คือ เดวิด เบคแฮม (37 ปี 335 วัน) สมัยเล่นให้ PSG พบ บาร์เซโลน่า เมื่อปี 2013

 ดาร์วิน นูเญซ ยิง 6 ประตูใน UCL ในซีซั่น 2021-22 นับเป็นนักเตะ เบนฟิก้า ที่ยิงในรายการนี้ซีซั่นเดียวมากที่สุด แซงหน้า นูโน่ โกเมส ที่ทำไว้ 5 ประตูเมื่อปี 1998-99

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ