ดาร์วิน นูนเญซ ไม่ต่างจากนักฟุตบอลหลายๆคนที่ย้ายลีกย้ายประเทศย่อมต้องการเวลาในการปรับตัวแต่การควบคุมอารมณ์เป็นเรื่องของ “โปรเชสชั่นนอล” ที่ไม่ต้องมีใครมานั่งสอนกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ “ยั่ว” ที่โคตรจะเบสิกคือตอดกันแล้วมีปากเสียงแต่คุณเลือกตอบโต้ด้วยการเฮดบัต แบบนี้หวานหมูเข้าทางฝั่งตรงข้ามสิครับ
อย่างน้อยๆก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเล่นเป็นกองหน้ามันปะทะกับกองหลังทุกๆนาทีอยู่แล้วแถมที่กระทบกระทั่งกับ โยอาคิม แอนเดอร์เซน ก็แทบไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ
เป็นการถูก killed ที่ฝรั่งใช้คำว่า naive คือใสซื่อไร้เหลี่ยมจริงๆ
ลำพังแค่เอาใจช่วยไม่ให้ “ล่ก” ยิงแป๊กยิงไม่เต็มเท้าในกรอบเขตโทษถือว่าใช้ความอดทนอดกลั้นเอาใจช่วยมากพอแล้ว
แต่จากเหตุการณ์นี้ เดอะ ค็อป หลายคนมีประเด็นวิตกถึงความไม่อยู่กับร่องกับรอยกับการถูกใบแดงเพียงแค่นัดแรกใน แอนฟิลด์
ความเสียหายของเกมนี้ไม่ร้ายแรงถึงขั้น “คาบ้าน” แต่ก็สาหัสเอาการเมื่อพิจารณาจากการที่ต้องลงเล่นในเกมแดงเดือดด้วยสภาพที่ยังไม่ชนะใครเช่นเดียวกับ แมนฯยูฯ
ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสทองในช่วง 15-20 นาทีแรกที่โหมบุกกระหน่ำอย่างเมามันด้วยการเน้นการเปิดบอลจากริมเส้น (โดยเฉพาะฝั่งขวา เทรนต์) รวมถึงการวางยาวให้ตัวสอดวิ่งสอดไลน์ล้ำหน้า
แค่ไม่ถึงนาที เจมส์ มิลเนอร์ ได้ส่องโล่งๆเกือบขึ้นนำ หลายคนก็ลูบปากรอกันแล้ว
ผมเห็นการยืนของ คริสตัล พาเลซ แล้วบอกเลยว่า ปาทริค วิเอร่า ยอมเล่นเสี่ยงเพื่อแลกกับโอกาสอันน้อยนิด
เล่นเสี่ยงยังไง?
ปกติทีมที่ตั้งใจจะคุมโซนเล่นรับ พวกกองหลังจะยืนไลน์ต่ำถึงเส้นเขตโทษตัวเองแล้วให้กลางกับหน้าซ้อนเป็นชั้นๆอีกที
แต่เกมนี้ไลน์แนวรับดันขึ้นมาที่ระยะ 25 (โดยประมาณ) ซึ่งการยืนสูงแบบนี้ปกติแดนบนต้องเพรสเพื่อไม่ให้เขาขึ้นบอลมาง่ายๆแต่นักเตะทีมเยือนเหมือนไล่บางคนแค่เหยาะแหยะ
ผมเดาว่าที่ “ปั๊ต” เล่นแบบนี้คือเวลาสวนจะได้เริ่มต้นกินแดนสูงหน่อย ถ้าต่ำตามมาตรฐานสลัดหลุดยากกว่า
ด้วยวิธีนี้ครับทำให้ฝั่ง “หงส์” มีเวลาหยอด/โยนสารพัดโดยที่พื้นที่ด้านหลังเหลือๆแต่ปัญหาคือความอันตรายเมื่อถึงจังหวะสุดท้ายไม่มีทีเด็ดทีขาดอะไรเลย
อย่างที่ผมบอก นูนเญซ ออกแนวตื่นตระหนกและไม่ comfort กับบอลในเขตโทษซึ่งกองหน้าถ้าไม่มีตรงนี้การตัดสินใจจะทำอะไรซักอย่างมันดูเก้งๆก้างๆไปหมด
ไม่นับรวมครึ่งหลัง (ก่อนถูกไล่ออก) หลุดเดี่ยวยิงแป๊ก ฟ้องเอาแฮนด์บอลไม่ยอมเล่นต่อจนจังหวะเสีย
ลิเวอร์พูล ไม่มีประตูในช่วงที่ “พีค” สุดของตัวเองนั่นคือสิ่งที่ พาเลซ เขาแฮปปี้กับงานที่ได้รับมอบหมาย
ความผิดพลาดเดียวที่ไม่สามารถสกรีนจังหวะโต้กลับซึ่งเจ้าถิ่นรุมแย่งมาได้เสมอแต่ ฟาบินโญ่ หลุดทีเดียวทำให้ แนท ฟิลลิปส์ เจอลูกเก๋ากว่าของ วิลเฟรด ซาฮา ชิงจังหวะไม่ล้ำตั้งแต่กลางสนาม
โอกาสแรกในเกมนี้ของ พาเลซ กลายเป็นประตูทันที ความหวังเดียวคือ VAR ที่จะช่วยชีวิตแต่พอเห็นขาน้องแนทยื่นออกมาถึงกับเข่าทรุดทั้งๆที่สมัยก่อนถ้าพูดถึงขาน้องแนทจะเป็นอีกอารมณ์นึง
เป็นพลอตหนังสำเร็จรูปที่เห็นจนชิน บุกข้างเดียว โอกาสเพียบแต่ไร้สกอร์และถูกสวนกลับ ทำให้ตั้งแต่ซีซั่นที่แล้วนี่เป็นครั้งที่ 6 ติดต่อกันที่ “หงส์แดง” ตามหลังคู่ต่อสู้ไปก่อน
“หนูน” คงต้องกราบแทบเท้า หลุยส์ ดิอาซ ที่ปล่อยของได้ถูกที่ถูกเวลาแถม workrate วันนี้มี 10 ให้ 10 จากการวิ่งลงมาช่วยเกมรับเนื่องจากกลาง ลิเวอร์พูล เหลือแค่ 2 หลัง ฮาร์วี่ย์ เอเลียตต์ ดันไปยืนปีกขวาและ โม ซาลาห์ ยืนหน้าเป้าแทน
ครับ ตอนนี้ เยอร์เก้น คล็อปป์ อาจเริ่มตึงๆมีการบ้านกองโตตั้งแต่ 2 นัดแรกที่ปล่อยแต้มหลุดไปแล้วถึง 4 และกับคู่แข่งระดับ underdog ทั้งนั้น
ด้วยปัญหานักเตะเจ็บร่วม 10 คนและแนวรุกดูอ่อนพลังกว่าหลายฤดูกาลที่ผ่านมาน่าจะเป็นอีกปีที่เหนื่อยหนัก
ส่วน “หนูน” ได้แต่หวังว่านี่คือบทเรียนราคาแพงครั้งสุดท้าย สโมสรจ่ายไปเยอะเพื่อมาช่วยทีมไม่ใช่สร้างภาระแบบโง่ๆครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
ดาร์วิน นูนเญซ เป็นนักเตะคนที่ 2 ของ ลิเวอร์พูล ที่ถูกไล่ออกในเกมแรกที่ แอนฟิลด์ โดย โจ โคล เคยคอตกเดินออกจากสนามในเกมที่พบ อาร์เซนอล เมทื่อปี 2010 ที่น่าตกใจคือวันที่ 15 สิงหาคมเหมือนกันเป๊ะ
“หงส์แดง” เสียประตูแรกให้คู่แข่งไปก่อนเป็นนัดที่ 6 ในลีกติดต่อกัน นับเป็นสถิติที่นานที่สุดนับตั้งแต่ทีมรุ่นพี่เคยทำไว้ 6 นัดในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 1997
วิลเฟร็ด ซาฮา เป็นนักเตะคนแรกของ คริสตัล พาเลซ ที่ยิงประตูใน แอนฟิลด์ ได้ 2 เกม (ลูกแรกปี 2015)