ถึงตรงนี้แล้วปฏิเสธไม่ได้ว่าเกม แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมมันไม่ใช่เกมที่จบแล้วก็จบไปแต่กลับมีบทบาทสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อศึก เอฟเอ คัพ รอบตัดเชือกระหว่าง แมนฯซิตี้ และ ลิเวอร์พูล
สภาพร่างกายของเด็กๆ เป๊ป กวาดิโอล่า หลังต้องเจอ แอต.มาดริด เหมือนคนที่เพิ่งผ่านสงครามโลกมาและต้องปรับเปลี่ยนมากถึง 7 ตัว
ถ้าเปรียบเป็นเกม FIFA คือพวกตัวจริงขึ้นขีดเหลืองไปแล้ว ซ้ำร้ายการเข้ารอบรอง UCL ต้องแลกมาด้วยการเสียคีย์แมน no.1 อย่าง เควิน เดอ บรอยน์ ที่ทำให้เกมแดนกลางวันนี้ไม่มีลูกว้าวให้เห็นเลย
แนวรับของ ซิตี้ 4 จาก 5 ตัว (รวมประตู) ไม่ใช่ “ขาประจำ“ การขึ้นเกมจากแดนหลังที่เป็นจุดขายของ เป๊ป จึงเป็นช่องโหว่ที่ดูเป็นปัญหามากที่สุด
ผิดกับ “หงส์แดง” ที่เจองานเบาอย่าง เบนฟิก้า และได้สกอร์ตุนมานัดแรก 3-1 จนเลือกโรเตชั่นตัวหลักเกินครึ่งทีมก่อนมาปล่อยรวดเดียวในเกมนี้
ทันทีที่มีการประกาศรายชื่อ ปีเตอร์ รีด อดีตกุนซือทีมชาติไทยได้ให้สัมภาษณ์ก่อนเกมว่าเขาเห็นผู้ชนะล่วงหน้าแล้ว ทีมนั้นคือ ลิเวอร์พูล
การที่เหนือกว่าทั้งความสดและคุณภาพผู้เล่นทำให้การเพรสใส่ “เรือใบ” เป็นคีย์สำคัญของเกม 45 นาทีแรก
แมนฯซิตี้ ขึ้นเกมค่อนข้างลำบากจากการที่ความนิ่งและการออกบอลของแนวรับชุดตัวจริงกับชุดโรเตชั่นห่างกันค่อนข้างชัดเจน
บอลจากหลังมาหน้าจึงไม่ค่อยได้เปรียบ ในขณะที่ แจ็ค กรีลิช และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ซึ่งได้โอกาสลงตัวจริงแทบไม่ได้สร้างความหวือหวาตอนได้บอลใดๆเลย
ในระหว่างที่ทั้ง 2 ทีมยังเครื่องอุ่นๆ “หงส์แดง” ขโมยโมเมนตั้มชาวบ้านชาวช่องด้วยลูกเตะมุม (อีกแล้ว) ซึ่ง อิบราฮิม่า โกนาเต้ ได้สถาปนาตัวเองเป็นอาวุธใหม่อย่างเป็นทางการหลังทำได้ 2 ประตูติดต่อกันภายใน 3 วัน
แม้ว่ายังมองว่าจุดอ่อนของกองหลังเจ้าของความสูง 194 ซม.ยังเป็นเรื่องของการเช็กล้ำหน้าที่ชอบเหม่อและยืนต่ำกว่าไลน์ตัวสุดท้ายแต่อายุแค่ 22 ปีถือว่ามาไกลกว่าคนในวัยเดียวกัน
เสียลูกเตะมุมตั้งแต่นาทีที่ 9 โอเค ในแง่ของเวลายังเหลือเฟือแต่ที่ทำให้เล่นยากและขวัญเสียกันยกทีมคือการโดน 2-0 ในอีก 8 นาทีต่อมา
เป็นประตูที่ฝรั่งเรียกว่า bizarre หรือแปลกประหลาดเมื่อ แซค สตีฟเฟ่น นายทวารวัย 27 ปีชาวอเมริกันไม่รู้แกคิดอะไรอยู่ถึงออกบอลช้ามากแบบช้าโคตรๆ
การปล่อยให้ ซาดิโอ มาเน่ ซึ่งอยู่ห่างออกไปถึง 10 หลาวิ่งมาถึงบอลอย่างนั้นถ้าบอกว่า “หลับใน” ก็เชื่อนะ
นี่คือความแตกต่างของตัวจริงและสำรองซึ่ง เอแดร์ซอน ที่แม้จะเหวอๆเคลียร์บนเส้นเมื่อนัดก่อนแต่เชื่อว่าจังหวะง่ายๆแบบนี้บอลไปถึง นาธาน อาเก้ ไปแล้ว
ในเคสของ สตีฟเฟ่น อาจตำหนิ เป๊ป แบบเต็มปากเต็มคำอะไรมากไม่ได้เพราะ แกส่งลงเฝ้าเสาตัวจริงบอลถ้วยในประเทศมาโดยตลอด
การที่ “หงส์แดง” ยังไม่ได้อยู่ในจุดที่ควบคุมเกมแต่กลับนำ 2-0 ให้ความรู้สึกเหมือนตุนสกอร์มาในเลกแรกยังไงยังงั้น
ดังที่ผู้บรรยายเมืองนอกบอก ลิเวอร์พูล กำลังฉลุยทั้งๆที่ยังไม่ได้เข้าเกียร์เลยด้วยซ้ำ
ประตูขาด 3-0 ดันเป็นเวลาบาปนาทีสุดท้ายของครึ่งแรกทำให้เกมนี้คือจบแบบไม่เป็นทางการและอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ เป๊ป ไม่ยอมใช้สำรองซักคนยกเว้น เชซุส ที่เจ็บต้องให้ ริยาด มาห์เรซ มาแทนก่อนหมดเวลา 7 นาที
ลูกนี้จะบอกว่า สตีฟเฟ่น ยืนเปิดเสาแรกก็คงไม่ได้เพราะลูกนี้ต้องยอม ณ เดชจริงๆความมั่นใจกำลังมายิงเข้ามุมเป๊ะๆ แถมเหลี่ยมเฉือนๆผิดธรรมชาติ อ่านหน้าเท้ายากเข้าไปอีก
ที่ทำให้คิดว่า “หงส์” โชคดีเอามากๆที่งานเข้าเป็นเวลาแค่ 4 นาทีช่วงทดเจ็บหลัง แบร์นาโด้ ซิลวา ยิงไล่มาเป็น 3-2
เพราะก่อนหน้านั้นช็อตสำคัญที่ควรเป็น 3-2 ตั้งแต่นาที 70 หาก อลิสซอน ไม่ช่วยชีวิตลูกเดี่ยวๆกับ เชซุส (VvD เช็กล้ำพลาด) ซึ่ง ณ ตอนนั้นเหลือเวลาอีกร่วม 20 นาที เป๊ปเปลี่ยนตัวแลกแน่นอน
ก็ต้องย้อนกลับมาพูดถึงประเด็นการมีผู้รักษาประตูระดับโลกอยู่ในทีมมันเปลี่ยนผลแพ้ชนะได้จริงๆ
ชั่วโมงนี้ถ้าพูดถึงเรื่องหลุดเดี่ยวกินพ่อหมียากมาก แกพา ลิเวอร์พูล โกงตายเยอะจนนับไม่ไหว
การตีตั๋วเข้าชิง เอฟเอ คัพ ครั้งนี้ของ “หงส์แดง” นับเป็นหนแรกในรอบทศวรรษหลังหนสุดท้ายเกิดขึ้นคือเมื่อปี 2012 ที่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ต่อ เชลซี 2-1
เป็นปีที่ เดอะ ค็อป อาจต้องขยี้ตาเพราะไม่ค่อยชินที่เห็น ลิเวอร์พูล ภายใต้การทำทีมของ JK เข้าชิงบอลถ้วยภายในประเทศถึง 2 หนในปีเดียวหลังที่ผ่านๆมาตกรอบตั้งแต่ไก่โห่ตามเป้าหมายที่วางไว้เป็นลำดับท้ายๆ
ในส่วนของ เป๊ป ถูกลดทอนจาก “เทรปเปิ้ล” เหลือแค่ “ดับเบิ้ล” แทน, ขณะที่คล็อปป์ ผมว่าการที่แกกัดฟันลากความหวัง 4 แชมป์มาจนถึงกลางเดือนเมษายนได้นี่เก่งฉิบหายเลยนะ
ทั้งคู่ยังต้องแก้สมการกันต่อกับอีก 2 รายการสุดท้ายที่เหลืออยู่ทั้ง พรีเมียร์ลีก (7 นัดสุดท้าย) และ UCL (ที่ยังมีโอกาสเจอกันรอบชิง)
อย่าเพิ่งรีบเบื่อ การห้ำหั่นของ เป๊ป vs คล็อปป์ ยังมีอีกหลาย ep…
สถิติ สถิติ สถิติ
ลิเวอร์พูล เข้าชิงบอลถ้วย 2 รายการพร้อมกันเป็นหนที่ 3 หลังเคยทำได้ในฤดูกาล 200-01 และ 2011-12 รวมถึงเป็นทีมแรกที่ปลดล็อกความสำเร็จที่ว่านี้ด้วย
แมนฯซิตี้ เป็นทีมที่ 2 เท่านั้นที่ถูกเขี่ยร่วงรอบรอง เอฟเอ คัพ 3 ซีซั่นติดต่อกันโดย แมนฯยูฯ ชอกช้ำเป็นทีมแรกในซีซั่น 1963 ถึง 1966
ซาดิโอ มาเน่ เป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล คนแรกที่ยิง 2 ประตูในรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ นับตั้งแต่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เคยทำไว้ในเกมพบ แอสตัน วิลล่า เมื่อปี 1996
นอกจากนี้ ณ เดช เป็นคนแรกที่ยิงประตูที่ เวมบลีย์ ให้ “หงส์แดง” นับตั้งแต่ สตีฟ แม็คมานามาน เคยทำไว้ในเกม ลีก คัพ รอบชิงที่ชนะ โบลตัน เมื่อปี 1995
แข้ง เซเนกัล ที่อายุครบ 30 ปีเมื่อ 7 วันก่อนยิงประตูใส่ ซิตี้ เป็นลูกที่ 9 แล้วโดยนับตั้งแต่ย้ายมาเล่นที่ อังกฤษ มีแค่ คริสตัล พาเลซ เท่านั้นที่ยิงได้มากที่สุด (13) แต่หากนับตั้งแต่เปิดหัวซีซั่น 2014-15 ไม่มีนักเตะคนไหนยิง “เรือใบ” ในทุกรายการได้มากไปกว่าแฟนญาญ่าอีกแล้ว
“หงส์แดง” ทำประตูจากลูกเตะมุม 19 ลูกในทุกรายการซีซั่นนี้ซึ่งมากกว่าทุกทีมใน พรีเมียร์ลีก โดย อิบราฮิม่า โกนาเต้ ทำได้ทั้ง 3 ลูกจากการลงสนามใน 3 เกมหลังสุด