แดงเดือดมันเดย์ ไนท์ จบลงไปแบบไม่มีอะไรซับซ้อนเมื่อความกระหาย+การรอแก้แค้นของ แมนฯยูฯ มาปะทุในวันที่กลาง ลิเวอร์พูล หมดสภาพจึงเป็น 3 แต้มแรกของ เอริค เทน ฮาก ในซีซั่นนี้
ตลอด 90+5 “ปีศาจแดง” ทำได้ดีกว่าในทุกๆแอเรียของสนาม 3 นักเตะที่โรเตชั่นจากเกมแพ้ เบรนท์ฟอร์ด 4-0 ทั้ง ราฟาเอล วาราน, ไทเรลล์ มาลาเซีย, และ แอนโธนี่ เอลังก้า หรือจะรวม มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ยังได้รับความไว้วางใจในเกมนี้ต่อและทุกคนตอบแทนโอกาสของ ETH ทุกเม็ดทุกดอก
ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ความสมดุลในแดนกลางที่เป็นตัวกำหนดบาลานซ์เกมรุกและรับวันนี้ย่อยยับสู้เจ้าถิ่นไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
เยอร์เก้น คล็อปป์ นอกจากยืนกรานไม่ซื้อตัวใหม่เพิ่มทั้งๆที่ตัวเจ็บเพียบกลับเลือก เจมส์ มิลเนอร์ ลงในเกมใหญ่ซะงั้น
ผลคือ “รั่วโคตรๆ” การเข้าบอลการเก็บบอลของ “ท่านรอง” ตามวัยจริงๆครับ คือแกไม่ได้ผิดอะไรเพราะปีนี้ก็ 36 แล้วแต่ JK เลือกลงเล่นก่อน ฟาบินโญ่ ถือว่าส่งน้าแกลงไปตายแท้ๆ (แถมกว่าจะเปลี่ยนออกก็นู่นเลย นาที 73)
แฟ๊บ เองก็ใช่ว่าจะดี เปิดซีซั่นมา 2 นัดดูดร็อปๆแต่ตัวเลือกมันไม่เหลือแล้วก็ยังจะเข็นน้าแกลง ในขณะที่ ฮาร์วีย์ เอลเลตต์ ด้วยอายุที่ขบเผาะเราจึงได้เห็นแต่การเล่นง่ายๆเพลย์เซฟและมีลูกขยันแต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้
ผมไม่ค่อยชอบการดูบอลด้วยความเครียดซึ่งผมสัมผัสได้ตั้งแต่ก่อนเกมเพราะเชื่อลึกๆว่า แมนฯยูฯ จะไม่มีวันแพ้ ลิเวอร์พูล ซ้ำซ้อนเหมือนซีซั่นที่ผ่านมา คนเราเคยโดนทำให้ขายขี้หน้ามาความอยากเอาคืนมันทำให้ความตั้งใจทวีคูณอยู่แล้วครับ
ยิ่งสภาพของทีมเยือนจาก line up ก่อนแข่งเมื่อเทียบกับ ยูไนเต็ด ต้องไปเปิดกระป๋องโก๋แก๋กินแก้เครียดกันเลยทีเดียว
ชะตากรรมของ “หงส์แดง” ไม่ต่างจาก เชลซี ที่กลางขึ้นไม่ได้ บอลไม่ถึงหน้า ทำให้ โม ซาลาห์ ถูก มาลาเซีย ยืนแช่เกาะสบายๆเพราะตัว support ในเกมรุกนับหัวได้
เช่นเดียวกับ หลุยส์ ดิอาซ ที่ role อาจจะลงมาล้วงต่ำกว่า (และดีดกว่า) ก็ได้แต่เลี้ยงวนกลับตามสไตล์ “บอลโชว์” แต่ขาด threat ในแง่ของการเข้าทำซึ่ง ซาดิโอ มาเน่ ทิ้งผลงานไว้ดีกว่าเยอะมาก
การที่ energy ตรงกลางสนามสู้ไม่ได้ทำให้ แมนฯยูฯ ขึ้นเกมเจาะอย่างสนุกสนาน ที่สำคัญไม่ต้องเคาะบอลจากหลังให้เสียเวลา สาดยาวขึ้นมาโอกาสเก็บบอลได้มากกว่าไม่ได้อยู่แล้ว
การขาดตัว “เบรก” ในแดนกลางที่ว่านี้เองทำให้ตัวทำเกม ยูไนเต็ด ทะลวงกันสนุกสนาน เดือดร้อนเซนเตอร์ “หงส์” ต้องวิ่งไล่ตามและควรนำตั้งแต่ 10 นาทีแรกถ้า เอลังก้า ไม่หลุดเดี่ยวไปยิงชนเสา
จังหวะนี้ดูภาพช้า “ท่านรอง” หลุดตำแหน่งเลยครึ่งสนามไป ดิอาซ ยืนมองจนถูก แม็คโทฯ แทงทะลุให้ บรูโน่ จนนึกว่าวิญญาณ เควิน เดอ บรอยน์ เข้าสิง
สปิริตของแข้ง “ปีศาจแดง” ที่เล่นได้ใจแฟนบอลที่แหกปากกันเสียงดังกึกก้อก ทุกๆการบล็อกและสกัดของแนวรับเราจะเห็นการฟาดมือปลุกใจ ภาพรวมทั้งหมดคือสิ่งที่เจ้าถิ่นแสดงออกมาว่าอยากชนะในเกมสำคัญนัดนี้แค่ไหน
การคอมโบ้ประสานงาน 1-2 ของ คริสเตียน เอริคเซ่น และ เอลังก้า จังหวะนี้ก็ไม่มีกลางทีมเยือนเข้าคู่เลยครับ เป็น TAA ถูกรุม
ส่วน ฟานไดจค์ ไม่รู้แกจะหาบ้าน netflix อยู่หรือไงถึงชิวจัดคู่ต่อสู้ตั้งท่าจะยิงแต่แกยืนเฉยเอามือไพร่หลังอยู่กับที่
เข้าใจว่าเป็นสไตล์เพราะเล่นแบบนี้มาตั้งนานแล้วแต่สถานการณ์แบบนี้มันล่อเป้าและมุมเปิดกว้างมากๆ สัญชาตญาณกองหลังยังไงก็ต้องปรี่โถมบล็อกเหมือนที่ มิลเนอร์ จั่นลมไปคนแรกนั่นแหละ ยอมใจจริงๆ
ลูก 2-0 ในครึ่งหลัง เฮนเดอร์สัน รับไปเต็มๆครับเกี่ยวบอลทะลักจน มาร์ซิยาล แทงทะลุให้ แรชฟอร์ด เรียกว่าคนไม่ได้ยิงมา 7 เดือนทุกรายการมาทำได้ในเกมนี้บ่งบอกถึงสภาพของ “หงส์แดง” ในเกมนี้ได้ชัดเจนเอามากๆ
การหั่นนักเตะออก 4 คนแล้วใส่ตัว “เฟรชๆ” เข้ามาและเล่นดีผิดหูผิดตาแถมชนะในเกมใหญ่ความเชื่อมั่นในตัวนักเตะต่อผู้จัดการทีมมาแน่ครับ
สิ่งที่จะตามมานับจากนี้คือทุกคนรับรู้แล้วว่าการแย่งตำแหน่งในทีมเกิดขึ้นแล้ว ใครฟอร์มหลุดมีคนรอเสียบอยู่เหมือนที่ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ หรือ ลุค ชอว์ กำลังเผชิญอยู่
การเปิดตัว คาซิเมโร่ พร้อมปลดล็อก 3 แต้มในเกมแดงเดือดจึงไม่มีจังหวะไหนที่ “สมบูรณ์แบบ” เท่าวันนี้อีกแล้ว
เร้ดอาร์มี่จะได้เห็นสิ่งที่รอคอยกันมานานนั่นคือ “กลางรับลูกเมียหลวง” มายืนกวาดหน้าบ้าน รูปแบบการเล่นน่าจะชัดเจนและมีทรงขึ้นกว่าแต่ก่อนแน่ๆครับ
ขอเพียงอย่าให้การได้ชัยชนะในอนาคตมีต้นทางมาจาก “แรงจูงใจ” เป็นหลัก ควรต้องสม่ำเสมอจากตัวระบบและฟอร์มของนักเตะมากกว่าอย่างอื่น
ยูไนเต็ด เริ่มนับ 1 ชนะนัดแรกในซีซั่นนี้ ความกดดันของทั้ง เทน ฮาก และลูกทีมในเกมเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน เบาลงเยอะแบบเยอะมากๆด้วย
ทิ้งให้ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายตามแก้ปัญหาต่อไปเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ JK ไม่ชนะใน 3 นัดแรกของซีซั่น
ความตึงเครียดในเกมกับ บอร์นมัธ มาแน่ๆครับเพราะการลงเล่นทั้งๆที่หลายคนมองว่า 3 แต้มลอยมาแต่ไกลในฟอร์มแกว่งๆแบบนี้ยิ่งเล่นยากเข้าไปอีก
การขาด ดาร์วิน นูนเญซ ในวันนี้ทำให้ลูกยาวลักไก่ direct จากแนวรับหายไปเลยครับ ส่วนใหญ่โดนเก็บกินหมด ในขณะที่ม้านั่งสำรองมีตัวเลือกให้แก้เกมน้อยมากๆ
เปลี่ยนแบบไฟท์บังคับตามสภาพเพราะที่เหลือ 4 ตัวเป็นดาวรุ่ง, ประตูอีกคน, แนท ฟิลลิปส์
ตัวเจ็บนับ 10 ตั้งแต่ 3 นัดแรกทำให้หนังชีวิตของ “หงส์แดง” ในซีซั่นนี้น่าสนใจและน่าติดตามมากๆว่าจะต้องรอเลือดไหลอีกกี่แผลถึงจะกลับคืนสู่เส้นทางเดิมได้อย่างปกติ…
สถิติ สถิติ สถิติ
เอริค เทน ฮาก เป็นผู้จัดการทีมคนแรกของ แมนฯยูฯ ที่เก็บชัยชนะนัดแรกด้วยการเอาชนะ ลิเวอร์พูล
โม ซาลาห์ ยิงประตูใส่ แมนฯยูฯ ในทุกรายการมากกว่านักเตะ ลิเวอร์พูล คนไหนๆในประวัติศาสตร์สโมสร
1. ซาลาห์ 10
2. สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด 9
3. ดิค ฟอร์ชอว์ 7
4. กอร์ดอน ฮอดจ์สัน 7
5. แฮร์รี่ แชมเบอร์ส 7
มาร์คัส แรชฟอร์ด ยุติการรอคอยประตูแรกกับ แมนฯยูฯ ในทุกรายการไว้ที่ 997 นาทีหลังครั้งสุดท้ายทำได้ในเกมพบ เวสต์แฮม เมื่อต้นเดือนมกราคม
แมนฯยูฯ ไม่เคยแพ้ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีกหากพวกเขาขึ้นนำในช่วงพักครึ่งโดย 20 เกมชนะถึง 17 และเสมออีก 3
“ปีศาจแดง” ปลดล็อกเอาชนะ ลิเวอร์พูล อริตลอดกลางได้เป็นครึ่งแรกในรอบ 8 นัดหลังชนะหนสุดท้าย 2-1 เมื่อปี 2018