1% ที่เหมือนจบแต่ยังไม่จบ

เป็นอีกความบรรเทิงสำหรับ “สตอรี่” ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ และนักเตะ ลิเวอร์พูล บรรจงสร้างมันขึ้นมาในฤดูกาลนี้

พักตัวจริงและโรเตชั่นนักเตะ 9 ตำแหน่งแต่ยังพลิกแซง เซาธ์แฮมป์ตัน 2-1 ทำให้แชมป์พรีเมียร์ลีกต้องไปตัดสินกันในวันสุดท้ายคืออาทิตย์นี้

การตะบันน้ำป้าเชงเตะกับ เชลซี ในรอบชิง คาราบาว คัพ ถึง 120 นาทีทำให้ JK ต้องเพลย์เซฟผู้เล่นซึ่งความประจวบเหมาะที่นี่คือเกม “สั่งลา” ในบ้านของ “นักบุญ” มันไม่ใช่ไทมมิ่งที่ดีอะไรเลย

เพราะ “หงส์แดง” อาจต้องเจอลูกวิ่งบ้าอย่างที่ อาร์เซนอล พ่าย นิวคาสเซิ่ล ที่ เซนต์ เจมส์พาร์ค แบบสู้ไม่ได้ในเกมมันเดย์ไนท์

แต่เอาเข้าจริงโอกาสยิงเข้ากรอบหนแรกของ “นักบุญ” ที่เป็นประตู 1-0 และการมาโหมช่วง 10 นาทีสุดท้ายคือภาพจำที่พอจะนึกได้ว่าทีมของ ราล์ฟ ฮาเซนฮุทเทิ่ล มีตัวตนอยู่ในสนามในวันนี้

นอกนั้นที่เหลือถูกบัญชาเกมทั้งหมดของ ลิเวอร์พูล และขอย้ำว่าเป็นนักเตะชุดสอง!!

ไม่ได้อวยเกินจริงนะคือถ้าไม่นับ แมนฯซิตี้ ลองใครโรเตชั่นเกือบยกทีมแล้วยังพับสนามอย่างที่ “ดับเบิ้ลแชมป์” ทำ ช่วยกระซิบบอกผมทีเถอะ

ผมเชื่อว่า ราล์ฟ แกกระสันอยากได้ 3 แต้มนะ นี่คือโอกาสดีเอามากๆที่จะเพิ่มเกียรติประวัติลงไปใน portfolio หลังซีซั่นก่อนเคยร้องไห้เพราะชนะ JK ที่นี่

แต่ปัญหาอยู่ที่นักเตะนี่สิครับที่ไม่ตอบสนองใดๆ ภาษากายลงเล่นวันนี้รู้เลยว่าคิดถึงหมู่เกาะบาฮามัสหรือภูเก็ตกันหมดแล้ว

เจ้าบ้านไม่มีความน่ากลัวอะไรเลยครับ เอาง่ายๆแค่ถูกผู้เล่น ลิเวอร์พูล วิ่งไปเพรสก็ตกใจจ่ายบอลเสียรีบคายบอลทิ้งมั่วซั่ว

ครั้นจะมาฝากให้หน้าเก็บบอลนี่เลิกคิดไปได้ เจอ อิบราฮิมา โคนาเต้ ที่เด่นมากตามเช็กบิลหมดจด

ยิ่ง ราล์ฟ เลือกให้ลูกทีมลงไปรับในแดนตัวเองมากกว่าจะใช้ความสดของนักเตะไล่บี้เหมือนที่ “สาลิกา” ทำกับ “ไอ้ปืนใหญ่” ยิ่งส่งเสริมให้ ลิเวอร์พูล นวดเพลินเข้าไปอีก

จริงๆแล้ว “หงส์แดง” ควรต้องตำหนิตัวเองที่ชนะแค่ 2-1 ด้วยซ้ำเมื่อเหลือบดูตัวเลขที่มีโอกาสยิงมากถึง 24 ครั้ง (เซาธ์แค่ 4)

เกมรับของ “นักบุญ” ในซีซั่นนี้เน่าหนอนมากครับ คือเสียมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของลีก

แถมพอรอดตกชั้นปุ๊บปล่อยจอยก่อนใครเพื่อน ทำให้ 11 นัดหลังสุดชนะแค่เกมเดียว แพ้ถึง 8 เรียกว่าเล่นในบ้านยังกล้าแพ้ วัตฟอร์ด คิดดูเอาละกัน

2 ประตูที่ ลิเวอร์พูล ได้มาเป็นเครื่องบรรณาการจากทีมแดนใต้หลัง โมฮัมเหม็ด ซาลิซู โหม่งว่าวจนไปเข้าถึง ดิโอโก้ โชต้า ที่ไม่ได้มอง มินามิโนะ เป็น “วิญญาณ” ก่อนเป็นประตูสุดสวยที่เด็ดขาด

ที่ผมใช้คำว่า “วิญญาณ” เพราะเกมนี้ทั้ง เคอร์ติส โจนส์ และ โจ โกเมซ ไม่มีใครจ่ายบอลให้ ทากิ แม้กระทั่งจังหวะที่ยืนโล่งๆขอบอลก็ยังทำเป็นไม่เห็น

โกเมซ เจ็บจนถูกเปลี่ยนออก จบไปโดนด่าครึ่งเดียวแต่ โจนส์ นี่ชัดเจนว่าเขม่นและไม่อยากส่งบอลให้

นอกจากประเด็น มินามิโนะ แล้วผมขอยืนยันคำเดิมว่า โจนส์ น่าจะ “เวลตัน” แล้วครับ การซ้อมกับรุ่นพี่อย่าง ฟาบินโญ่, ธิอาโก้, นาบี เกอิต้า หรือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ไม่ได้ซึบซับอะไรเลย เมื่อก่อนเล่นยังไงตอนนี้ก็เหมือนเดิม

ใครมองว่าเล่นดีโอเคมุมมองคุณนะแต่ผมบอกคำเดียวว่าน้องแกรู้สึก “เอ็นจอย” กับการได้คลึงบอลหรือได้ม้วนได้ดึงจังหวะโดยไม่สนว่าบอลสามารถคืบหน้าได้หรือไม่

หลายๆครั้งสามารถแทงต่อไปข้างหน้าให้เพื่อนที่ยืนอยู่ในตำแหน่งอันตรายได้เลยแต่ โจนส์ เลือกม้วนส่งกลับ เป็นความสุขส่วนตัวครับที่ทำให้ตัวประกบวิ่งถลำไปข้างหน้า

อย่างในครึ่งแรกถ้าใครเห็นจังหวะที่แกดื้อจะเอาชนะตัวประกบตรงกลางสนามจนเกือบเสียบอลทั้งๆที่เพื่อนดันขึ้นไปหมดแล้ว ถ้าเสียคือโดนสวนทันที สุดท้ายก็ต้องจ่าย ก็ทำไมไม่จ่ายตั้งแต่แรก!!

เราเห็นทรงบอลของบรรดามิดฟิลด์ตัวจริงมาตลอดทั้งซีซั่น พอได้เห็นสิ่งที่ โจนส์ เล่นมัน “เอ๊ะอ๊ะ” น่าหงุดหงิดจริงๆครับ

ระบบของ “หงส์แดง” กลางต้องออกบอลได้เปรียบ ห้ามเล่นยากเพราะแบ็คจะดันขึ้น การเซ็ตบอลจะเหลือแค่เซนเตอร์กับกลางตัวปั้นเกมเท่านั้น

ถ้ายังดื้อแพ่งเลือกเล่นสไตล์แบบนี้ต่อไป มี 2 ทางให้เลือกครับ คือ 1. สำรองตลอดชาติ และ 2. ย้ายไปเล่นกับทีมกลางตาราง

ประตูที่รอคอยของทีมเยือนเหมือนถูกเขียนบทเอาไว้เพราะเตะมุมลูกนี้หากไม่ใช่ ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส ที่สูงแค่ 174 ซม.ยืนคู่กับ โจเอล มาติ๊ป บอลคงไม่แคนนอนไปเสยเข้าหัวเจ๊แกแน่ๆ

ครับแม้ในบั้นปลายผมยังคิดเหมือนที่ คล็อปป์ มองคือ ซิตี้ ไม่น่าจะพลาดที่ วิลล่า พาร์ค และผมขอยืนยันตามนั้นว่าขุมกำลังและแท็คติกส์ของ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ไม่ “แน่น” พอที่จะต้านเกมรุกของ “ว่าที่แชมป์”

แต่ทุกๆโอกาสแม้จะน้อยนิดมันก็ยังมีคำว่าเป็นไปได้ซ่อนอยู่เพราะ เรอัล มาดริด เคยทำให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสร้างปาฏิหาริย์จากโอกาสพลิกชนะ แมนฯซิตี้ แค่ 1% ในนาที 89 ให้มันเกิดขึ้นจริงได้

ท้ายที่สุดจะออกหน้าไหนก็ตามแต่ สิ่งนึงที่เราต้องยอมรับจากใจจริงคือ JK ปั้นทีมมาไกลเกินคำว่าจินตนาการ

ถึงขนาดที่ว่าลงเตะเกมที่ 61 ของฤดูกาลและส่งสำรองแบบไม่มีทางเลือกแต่ยังอุตสาห์ลาก “เรือใบ” ไปสร้าง content ยันนัดที่ 38

ก็เป็นซะแบบนี้แหละครับทำให้ เป๊ป กวาดิโอล่า รำคาญจนขี้ขึ้นสมองในหัวมีแต่ ลิเวอร์พูล เช้า กลางวัน เย็น…

สถิติ สถิติ สถิติ

 โจเอล มาติ๊ป ยังทำสถิติชนะ 8 เกมในลีกเมื่อเขาทำประตูได้และตลอดการลงสนามในลีก 125 นัดเขาพาทีมแพ้แค่ 10 เท่านั้น (8%) นับเป็นค่าเฉลี่ยที่น้อยที่สุดในบรราดา 1,081 นักเตะที่ลงสนามอย่างน้อย 100 เกมในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

 ลิเวอร์พูล เป็นทีมเดียวที่ยังไม่แพ้ใครในลีกหลังขึ้นปี 2022 โดยปีนี้เตะ 18 เกมไร้พ่าย (ชนะ 15 เสมอ 3)

 เจมส์ มิลเนอร์ สร้างโอกาส 5 หนให้ ลิเวอร์พูล ในครึ่งแรก กลายเป็นนักเตะอายุมากที่สุด (36 ปี 133 วัน) ที่สร้างโอกาสได้ 5 ครั้งในลีกนับตั้งแต่ พอล สโคลส์ เคยทำไว้เมื่อปี 2012 ในเกมที่ แมนฯยูฯ พบ QPR. (37 ปี 144 วัน)

 “ท่านรอง” และ ฮาร์วีย์ เอเลียตต์ ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงพร้อมกันเป็นครั้งแรกโดยคู่นี้อายุห่างกันถึง 17 ปีโดยหลัง เอเลีตต์ เกิดได้ 145 วันเป็น มิลเนอร์ ที่ได้ debut ในพรีเมียร์ลีกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2002

 ฤดูกาลนี้ ทาคูมิ มินามิโนะ ยิงเข้ากรอบ 11 ครั้งและเป็นประตูถึง 10 ลูก

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ