เชลซี จะเป็นอย่างไรเมื่อหมดยุค “กงสี”

การชวดแชมป์ คาราบาว คัพ ของ เชลซี กลายเป็นเรื่องขี้ๆไปทันทีเมื่อพวกเขากำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่เรียกว่าบีบหัวใจที่สุดนับตั้งแต่ปี 2003

นั่นคือการประกาศยืนยันด้วยตัวเองของ โรมัน อับราโมวิช ว่าเขาพร้อมที่จะขายสโมสรเพราะเชื่อว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดของทั้งสโมสร, แฟนบอล, พนักงานและพาร์ทเนอร์ทุกราย

เป็นสิ่งที่แฟน “สิงห์บลู” ไม่ทันได้เตรียมใจหลังกำลังเห็นอนาคตที่ดีของทีมจากการมาขอ โธมัส ทูเคิ่ล ที่นำทั้งแชมป์ยุโรปและสโมสรโลกมาให้ได้เชยชมกัน

เป็นการตอกย้ำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าสงครามมีแต่ “พราก” ทุกอย่างไปจากเราไม่ว่าจะชีวิตหรือความฝัน

มหาเศรษฐีชาว รัสเซีย คือลมหายใจของแฟนบอล เชลซี แกเข้ามาเทคโอเวอร์ “สิงห์บลู” ต่อจาก เคน เบตส์ ก่อนพลิกโฉมทีมที่เป็นลูกไล่ให้ทั้ง แมนฯยูฯ, อาร์เซนอล และ ลิเวอร์พูล ก้าวขึ้นมาเป็นทีมระดับชั้นนำของ อังกฤษ​ และยุโรป

แต่การก่อสงครามของ วลาดิเมียร์ ปูติน ที่ทั่วโลกพากันต่อต้านและประณามทำให้ “อากู๋” พลอยได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และครั้งนี้หนักถึงขั้นอยู่ไม่ได้แล้ว

เป็นที่ทราบกันดีว่า ปูติน กับ อับราโมวิช มีสายสัมพันธ์กันมาช้านานหลังฝ่ายแรกไฟเขียวให้ “อากู๋” เข้ามาทำเงินในธุรกิจทุกๆภาคส่วนของ รัสเซีย ทั้งพลังงาน และ คมนาคม

รัฐบาล อังกฤษ เพ่งเล็ง อับราโมวิช มานานแล้วครับ ทำให้การขอวีซ่ายากขึ้นกว่าเดิม นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หนุ่มใหญ่วัย 55 ปีเข้ามาดู เชลซี แข่งน้อยลงจนหายหน้าหายตาไปในที่สุด

เกมล่าสุดเป็นเกมที่ เสมอ แมนฯยูฯ 1-1 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นเกมแรกในรอบ 3 ปีเลยทีเดียวและว่ากันว่าเข้าประเทศในฐานะพลเมืองของ อิสราเอล

ดังนั้นพอ รัสเซีย โจมตี ยูเครน แบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนับตั้งแต่เปิดหัวไว้ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาทำให้ “อากู๋” กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะ ปูติน กับเขามีผลประโยชน์กันอยู่ ถึงกับถูกแฉว่าเป็น 1 ใน 35 ผู้มีอำนาจในการหนุนหลังการปกครองของ ปูติน

แน่นอนครับเมื่อเห็นๆกันอยู่ว่าการออกมาป่าวประกาศไม่ต้องการสงครามหรืออยู่ข้าง ยูเครน ดังที่เซเลปหลายๆคนทำกันจึงไม่มีทางเป็นไปได้

อับราโมวิช พยายามคลี่คลายสถานการณ์เบื้องต้นด้วยการแถลงให้มูลนิธิ “เชลซี” เข้ามาดูแลบริหารทีมแทนเพื่อลดความกดดันและเพิ่มช่องว่างระหว่างเขากับสโมสร

แต่กระแส “คว่ำบาตร” รัสเซีย หนักหน่วงจน “อากู๋” เริ่มหวั่นวิตก เรียกว่าโดนยับเยินไล่ตั้งแต่วงการกีฬา, การค้า และทุกๆ action ที่มี รัสเซีย เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

ฟีฟ่า และ ยูฟ่า ประกาศแบน “หมีขาว” จากการแข่งขันทุกรายการไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ สปาร์ตัก มอสโก ร่วงตกรอบ ยูโรป้า ลีก ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลงแข่ง

สหพันธ์เทนนิสนานาชาติ, ฟอร์มูล่า วัน, จักรยาน, ว่ายน้ำ, เรือพาย, วอลเลย์บอล, แบดมินตัน, บาสเก็ตบอล, ยูโด คือถ้ามีเป่ากบหรือกระโดดยางโดนหมดไม่มีเหลือ

สปอนเซอร์ที่เป็นสัญชาติ รัสเซีย ถูกยกเลิกสัญญากันรัวๆ ชาติที่ไม่เอา “สงคราม” ออกมาแสดงจุดยืนกันอย่างพร้อมเพรียง ใครนิ่งเฉยถูกตราหน้าว่าเห็นดีเห็นงามกับสงครามครั้งนี้

โลกยุคปัจจุบันไม่เหมือนสงครามโลก 2 ครั้งที่ผ่านมาแล้วนะครับ นานาประเทศไม่มีใครยอมรับการบุก (invade) บ้านคนอื่นแบบหน้าด้านๆได้อีกแล้ว

บาดแผลจากสงครามที่ผ่านๆมาทำให้หลายประเทศรู้ถึงผลกระทบที่ตามมาจึงพยายามเลี่ยงการปะทะด้วยอาวุธสงครามโดยตรงและหันมาใช้วิธี “คว่ำบาตร” แทน

การตอบโต้ ยูเครน ที่ชักศึกเข้าบ้านเอา NATO มาอยู่ติดพรมแดนสร้างความเสียหายให้ฝ่ายแรกอย่างหนัก พลเรือนตายกันรายวันแต่ รัสเซีย เองเจ็บตัวหนักไม่แพ้กัน

เพราะเศรษฐกิจกำลังย่อยยับเมื่อหลายประเทศพร้อมใจกับถีบหัวส่งธนาคารใหญ่ของ รัสเซีย ออกจากระบบ SWIFT ซึ่งเป็นเครือข่ายการโอนและชำระเงินระหว่างประเทศที่เชื่อมต่อกับสถาบันการเงินทั่วโลกมากกว่า 11,000 แห่ง

เรียกว่าตอนนี้ลิสการ “คว่ำบาตร” ทั้งการเงิน, พลังงาน, การค้า, ขนส่ง และ อุตสาหกรรมอื่นๆยาวเป็นหางว่าวไล่ทั้งวันก็ไม่หมด

เมื่อไฟกำลังลุกลามจี้ก้นมาขนาดนี้ “อากู๋” จึงมองเกมว่าหากสงครามยืดเยื้อโอกาสที่เขาจะถูกอายัดทรัพย์สินซึ่งนั่นหมายถึงสโมสร เชลซี อาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

หลังเคยซื้อ “สิงห์บลู” เมื่อปี 2003 ด้วยเงินเพียง 140 ล้านปอนด์แต่ตอนนี้เจ้าตัวตั้งราคา (เหมือนไม่อยากขาย) ไว้สูงถึง 3,000 ล้านปอนด์ (วงในบอก 2 พันล้านปอนด์ก็ยอม)

เรื่องขายได้หรือไม่ได้อันนี้ไว้เราตามข่าวกันแต่สิ่งนึงที่ปฏิเสธไม่ได้แน่ๆคือหากมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของใหม่การ “รัน” สโมสรอาจไม่ใช่ “กงสี” ที่ว่า “มีเมื่อไหร่ค่อยมาใช้คืน” แบบเดิมได้อีกแล้ว

เราต้องไม่ลืมก่อนว่า “อากู๋” แกรัก เชลซี มาก ความจริงใจต่อสโมสรนี้ไม่มีทางจะได้เห็นจากเจ้าของคนไหนอีกแล้วครับ

การควักแหลกโดยไม่สนว่า “งบดุล” สโมสรจะแดงขนาดไหนจนมีการเปิดเผยว่าจนถึงวันนี้แกหมดเงินไปแล้วกว่า 1.5 พันล้านปอนด์นับตั้งแต่ปี 2003

ในเชิงธุรกิจหมายความว่า เชลซี เป็นหนี้จากการกู้ยืมเงินที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารถึง 1.5 พันล้านปอนด์แต่แก “ยกหนี้” ส่วนนี้ให้ไปเลยหากมีการขายสโมสรขึ้นมาจริงๆ

เป็นเงินที่มาจากการซื้อนักเตะรวมกันราว 704 ล้านปอนด์หรือเฉลี่ยแล้วซีซั่นละ 41 ล้านปอนด์ มีแค่ แมนฯซิตี้ เท่านั้นที่ใช้มากกว่าเมื่อเทียบในช่วงระยะเวลาเดียวกัน

คนที่จะซื้อสโมสรต่อก็แน่นอนครับอยากทำกำไรในอนาคตดังนั้นไม่มีทางเลยที่จะสูงถึง 3 พันล้านปอนด์

จากการประเมินมูลค่าของสโมสร เชลซี หากมีการซื้อขายกันจริงๆจะอยู่แค่ 1.25 – 1.5 พันล้านปอนด์เท่านั้น

สปอร์ตเมล์ ได้ออกมาเผยว่าเมื่อเช้าวันพุธ (ตามเวลาที่ อังกฤษ) “อากู๋” ได้ส่งให้ Raine Group ธนาคารของ อเมริกา เข้ามาจัดการเรื่องการขายสโมสรและเล็งเป้าเพื่อขายให้กลุ่มทุนจาก “มะกัน”, จีน และประเทศฝั่งตะวันออกรวมถึงยุโรปตะวันออก สาเหตุมาจากความปลอดภัยในเรื่องของเหตุผลทางการเมือง

วันก่อนเราเห็นชื่อของผู้สนใจบ้างแล้วคือ ฮันส์ยอร์ก วีสส์ มหาเศรษฐีชาวสวิส วัย 86 ปีแต่ถ้ายังยึดราคา 3 พันล้านปอนด์คงไม่มีใครกล้าบ้ายอมจ่ายแน่ๆ (แม้จะลงขันกันหลายกลุ่มก็ตาม)

เชื่อกันว่า “อากู๋” แกคงรู้ความเคลื่อนไหวจาก ปูติน มาตลอดว่าสงครามครั้งนี้ยืดเยื้อไปอีกนานแน่ๆ ข้อมูลสำคัญดังกล่าวทำให้แกไม่ยอมเสี่ยงถูกยึดทรัพย์สินในต่างแดนโดยไม่ได้อะไรกลับมาแน่นอน

ความพิเศษของ “สิงห์บลู” ในยุค อับราโมวิช คือเป็นทีมที่เปลี่ยนผู้จัดการทีมถี่มากทีมหนึ่งถึง 13 คนภายใน 19 ปีแต่กลับไม่เคยห่างหายจากความสำเร็จนานเกิน 2 ซีซั่นเลย

21 แชมป์ภายใต้อาณาจักร ROMAN เป็นผลงานที่อลังการงานสร้างมากๆเมื่อเทียบกับทั้งประวัติศาสตร์ของสโมสรที่สะสมอยู่ในตู้โชว์ก่อนแกเข้ามาเพียงแค่ 13 โทรฟีย์เท่านั้น

จึงน่าติดตามจริงๆครับว่าอนาคตข้างหน้านี้ เชลซี จะมีใครเป็นเจ้าของใหม่ ทิศทางการบริหารจะเป็นอย่างไรและที่สำคัญ “ความพิเศษ” ที่ว่านี้จะหายไปหรือไม่

สำหรับพวกเราในฐานะแฟนฟุตบอลแม้อาจต้องยอมรับว่าการที่ “อากู๋” เตรียมหันหลังให้ เชลซี ย่อมเปิดโอกาสให้ทีมอื่นหายใจสะดวกขึ้นในแง่ของการแย่งความสำเร็จ

แต่ในอีกมุมนึงเรากำลังสูญเสียบุคคลที่มี passion กับฟุตบอลและคนสำคัญที่เข้ามายกระดับคุณภาพของ พรีเมียร์ลีก มาเกือบ 20 ปี

ไม่มีอะไรจะกล่าวไปมากกว่าคำว่าขอบคุณและโชคดีครับ โรมัน อับราโมวิช…

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ