พักครึ่งเปลี่ยนเกม “หงส์” ทีมแรกชิง 3 รายการ

ถ้าจำไม่ผิดผมเคยได้ยิน เยอร์เก้น คล็อปป์ ขอบคุณพระเจ้าที่ฟุตบอลมี “พักครึ่ง”อยู่ 2 เกมคือวันที่เสมอ แมนฯซิตี้ 2-2 ที่ แอนฟิลด์เมื่อปีที่แล้วและชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-0 เมื่อสัปดาห์ก่อน

แม้ตอนนี้ยังไม่ได้ตามอ่านบทสัมภาษณ์ของ JK แต่เดาว่าถ้าไม่พูดถึงคงไม่ได้เพราะคำเดียวสั้นๆเสียงนกหวีดพักครึ่งคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ “หงส์แดง” เข้าชิงชนะเลิศ UCL เป็นหนที่ 3 ในรอบ 5 ปี

หาดูยากนะครับที่จะมีทีมซักทีม “กด/ขยี้/นวด“ ทีมอย่าง ลิเวอร์พูล แบบจมดิน ภาษากายไม่ว่าจะนักเตะหรือสต๊าฟ ทุกคนดู “จิตตก” ถึงขนาดที่ว่า อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตผู้จัดการทีม อาร์เซนอล พูดสั้นๆถึงเกมในครึ่งแรกว่า “creepy” หรือ “สุดสยอง”

ครับ การเล่นของ บีญาร์เรอัล คล้ายๆ แมนฯซิตี้ คือเพรสเพื่อให้คู่แข่งคายบอลเพราะมั่นใจว่าเพื่อนๆแดนกลางและหลังจะเก็บจังหวะ 2 ได้แน่ๆ

ลูกวางยาวที่ ลิเวอร์พูล เคย “แก้เพรส” ได้ผลกับทีมอื่นๆแต่ไม่ใช่กับ อูไน เอเมรี่ ที่ใช้สิ่งที่บอล สเปน ช่ำชองอยู่แล้วคือการตามตัวชนิดหายใจรดต้นคอ

ปัญหาไม่ใช่แค่การเก็บบอลไม่ได้นะครับแต่ทีมเยือนไม่สามารถรับมือกับลูกครอสทั้งจากด้านข้างหรือครอสเพื่อไปแย่งกันในพื้นที่สุดท้าย แพ้แทบจะทุกจังหวะ

แอนดี้ โรเบิร์ตสัน โดนเก็บกินหมดไม่ว่าจะเป็นใครมาขึ้นแย่งโหม่งไม่ว่าจะเป็น เอเตียนน์ กาปู หรือ เคราร์ด โมเรโน่

แม้กระทั่ง VvD ยังเจอลูกกลางอากาศเล่นงาน จุดนี้ครับที่ทำให้ “เรือดำน้ำ” กินแดนแล้วบุกใส่ได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนแดนกลางที่เป็นจุดแข็งมาช้านานของ ลิเวอร์พูล ยามออกมาเล่นในเกมยุโรป กลายเป็นว่าครึ่งแรก “ล่ก” ไปพร้อมๆกับเพื่อนร่วมทีมทุกตำแหน่ง

ที่ทำให้ เดอะ ค็อป สงสัยคือการให้ นาบี เกอิต้า ที่ลงเล่น 90 นาทีในเกมชนะ นิวคาสเซิ่ล ลงตัวจริงในเกมที่ต้องการ “แพ็ค” ตรงแดนกลาง

ผมเองก็คาดการณ์ผิดเนื่องจากการจัดตัวของ JK ดูง่ายครับ คือถ้าไม่ใช่ตัวแบกอย่าง VvD หรือ ซาลาห์ การให้นักเตะที่เข้าๆออกลง 90 นาทีเกมไหนนั่นแปลว่าเตรียมนั่งในเกมต่อมา (ในทีนี้ตัวจริงจะต้องเป็น เฮนโด้ ที่ถูกเปลี่ยนออกใน 20 นาทีสุดท้ายที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค)

เกมที่เข้าบอลถึงเนื้อถึงตัวและต้องการความแน่นอนในการจ่ายบอล เกอิต้า ทำไม่ค่อยดีและเกือบทำเสียจุดโทษจากลูกคืนหลังแบบงงทั้งสนาม

ในส่วนของแนวรุกทีมเยือน ความเก๋าของ ราอูล อัลบิโอล ถึงกับลูบปากในการตามสอย ซาดิโอ มาเน่ ที่มักจะเลือกเก็บบอลไว้กับตัว เป็นการทำฟาว์ลกลางสนามที่ไม่มีทางถูกใบเหลืองและทำให้เกมบุกของ ลิเวอร์พูล ที่มีอยู่น้อยนิดทำอะไรมากไปกว่าต้องมาตั้งกันใหม่

ปัจจัยอื่นๆนอกจากเบรกพักครึ่งที่ทำให้เราได้เห็นโครงการ “คนละครึ่ง” คือการส่ง หลุยส์ ดิอาซ แทน ดิโอโก้ โชต้า รวมถึงนักเตะเจ้าถิ่นวิ่งเยอะในครึ่งแรกจนหมดแรง+กับนำ 2 ลูกจึงวางแผนมาคุมพื้นที่รอสวน

จาก ลิเวอร์พูล ที่เราไม่รู้จักค่อยๆควบคุมเกมและยิ่งเคลื่อนบอลกระจายไปทั่วสนามมากเท่าไหร่ฝั่ง “เรือดำน้ำ” เผลอทิ้งช่องว่างเป็น “เมตร” ให้ ฟาบินโญ่ หลุดไปยิง “ดาก” กลายเป็นประตูเปลี่ยนเกมของจริง

ตลกนะครับที่ครึ่งแรกแค่หลาสองหลาแทบไม่มีที่ให้หายใจแต่แนวรับ “เยลโล่ ซับมารีน” ปล่อยให้ลูกแบบนี้ได้เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก

สำหรับลูกที่ 2 คงไม่มีใครคาดคิดว่าคนถนัดขวาอย่าง TAA จะเลือกเปิดด้วยซ้ายตัดหลังไลน์ของเจ้าถิ่นที่ยืนเรียงเพื่อรอเช็กล้ำหน้า

จังหวะนี้ แพร์วิส เอสตูติญาน ยืนห่าง TAA ไปนิดทำให้จังหวะการวิ่งและเปิด timing มันไปพอดีกับ หลุยส์ ดิอาซ ที่วิ่งสวนขึ้นมาแบบเป๊ะๆ

2 ประตูใน 5 นาที ส่วนนึงต้องยอมรับด้วยว่า เจโรนิโม่ รุลลี่ ไม่มีลูกเซฟมหัศจรรย์ช่วยชีวิตเหมือนที่ อลิสซอน พุ่งคว้าบอลจากขา โล เซลโซ่ ที่ทำให้ “หงส์แดง” ไม่จบเห่ตั้งแต่ครึ่งแรก

ภาพความเหนียวความเขี้ยวของ บีญาร์เรอัล ในครึ่งหลังไม่เหลือจริงๆครับ ยิ่งลูก 3 ไม่รู้คุยกันยังไงถึงเช็กล้ำตั้งแต่กลางสนามแต่ไม่มีตัวประกบยืนอยู่ใกล้ๆ มาเน่ เลย

ดูภาพช้ายิ่งตกใจที่ อัลบิโอ ตามสิง มาเน่ ไม่ให้ห่างตัวตลอดครึ่งแรกกลับปล่อยระยะเกิน 5 หลา คำถามคือแนวรับต้องยืนเส้นกลางสนามหรืออย่างน้อยๆตามมีคู่ของตัวเอง

การไปหวังพึ่งพา รุลลี่ ผู้รักษาประตูซึ่งความมั่นใจไม่เหลือแล้วคงเป็นไปไม่ได้สุดท้ายจั่วลม กลายเป็นหนังคนละม้วนแถม 3 ประตูที่ได้มาง่ายดายจนต้องขยี้ตาด้วยความตกใจ

หากมองกันให้ดีๆ การที่ อูไน สั่งให้ลูกทีมเพรสและโจมตีตั้งแต่ต้นเกมแล้วขึ้นนำถึง 2-0 เป็นแผนที่ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลยนะครับ ออกมาดีซะด้วยซ้ำ

แต่ด้วยอายุอานามนักเตะหลายคนและอาจไม่ได้เพรสเอาเป็นเอาตายแบบนี้เป็นรูทีนจึงกลายเป็นดาบ 2 คมที่บังเอิญ “หงส์แดง” ดันยิงรัวๆ 3 ลูกใน 12 นาที

ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล เข้าชิงบอลถ้วย 3 รายการและยังตามคั่วแชมป์ พรีเมียร์ลีกกับ แมนฯซิตี้ ในอีก 4 นัดสุดท้าย นี่เข้าถึงพฤษภาคมเตรียมตัวพักผ่อนกันแล้วแต่ยังไม่ตกหล่นซักรายการ

ช่วงแรกๆเลยใครพูดถึงเรื่อง 4 แชมป์ผมรู้สึกแม่งไร้สาระมากหรือตัดออกไป 1 เหลือแค่เทรปเปิ้ลแชมป์ก็ยังเคยรู้สึกว่าแม่งโคตรน้ำลาย

แต่ตอนนี้หลังได้ คาราบาว คัพ และนอนรอชิงอีก 2 ถ้วยจะมาทำหล่อบอกขอลุ้นนัดต่อนัดมันปลอมแล้วครับ

โอกาสแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เผลอๆ 10-20 ปีอาจจะทำไม่ได้อีกเลย เอนเบาะหลังเปิดตัวเอาทุกแชมป์แม่งไปเลยครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

 ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีม อังกฤษ ทีมแรกที่เข้าชิงบอลถ้วยทั้ง 3 รายการคือ แชมเปี้ยนส์ลีก (และยูโรเปี้ยน คัพเดิม), เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ ในฤดูกาลเดียว

 ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ 4 ที่เข้าชิงบอลยุโรปถ้วยใหญ่มากที่สุด (10 ครั้ง) โดยพี่เบิ้ม เรอัล มาดริด กดไป 16 ส่วน บาเยิร์น มิวนิค และ เอซี มิลาน แบ่งไปทีมละ 11 ครั้ง

 เยอร์เก้น คล็อปป์ พาทีมเข้าชิง UCL เป็นคำรบที่ 4 เทียบเท่า มาร์เซลโล่ ลิปปี้, เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ คาร์โล่ อันเชล็อตติ

 โอกาส 5 ครั้งของ บีญาร์เรอัล ในรอบรอง UCL มาจากครึ่งแรกทั้งหมด ส่วนโอกาส 13 จาก 15 ของ “หงส์แดง” เกิดขึ้นใน 45 นาทีหลัง

 “หงส์แดง” ยิง 139 ประตูใน 57 เกมทุกรายการในซีซั่น 2021-22 เป็นตัวเลขสูงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรที่ทำได้ภายในซีซั่นเดียว

 ยอดทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์เอาชนะเกมเยือนในรอบรองชนะเลิศรายการนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1985 (บุกชนะ พานาธิไนกอส 1-0)

 มีแค่ โธมัส มุลเลอร์ (21) และ คิลิอัน เอ็มบาปเป้ ที่ทำแอสซิสต์ในทุกรายการซีซั่นนี้มากกว่า เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ (18) (นับเฉพาะ 5 ลีกใหญ่)

 ฟรองซิส โกเกอแลง ทำประตูใน UCL เป็นครั้งแรกในชีวิตหลังลงเล่นในรายการนี้มาแล้วถึง 39 เกม

 ลูกยิงของ บูลาเย่ เดีย ในนาทีที่ 2 (02.51) เป็นประตูที่ ลิเวอร์พูล เสียไวที่สุดใน UCL นับตั้งแต่ปี 2018 (เสียให้ แมนฯซิตี้ ในนาที 01.57)

 “เรือดำน้ำ” แพ้คาบ้านในรอบน็อกเอาท์ UCL หนแรก (ก่อนลงสนามมีสถิติชนะ 2 เสมอ 5) แต่ก็เป็นครั้งแรกใน 8 เกมที่พวกเขาทำประตูได้มากกว่า 1 ลูกเช่นกัน

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ